“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” เผยเทรนด์ความต้องการติดโซลาร์รูฟมีมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากพฤติกรรมการใช้ไฟกลางวันทำงานที่บ้านมากขึ้นส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น การติดโซลาร์จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขาย “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” เติบโตเกือบ 200% สำหรับปี 2564 พร้อมรุกตลาดทั้งงานบ้าน และงานโรงงาน – อาคารอย่างเต็มตัว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลดรายจ่ายค่าไฟฟ้า พร้อมให้บริการทั่วประเทศ ชูจุดแข็งด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านหลังคา ประกอบกับความรู้ทางด้านโซลาร์ ได้คัดสรรสินค้าคุณภาพเยี่ยมมาตรฐานระดับโลกรับประกันสูงถึง 25 ปี รวมทั้งการให้บริการติดตั้งอย่างครบวงจร พิเศษด้วยนวัตกรรม Solar FIX สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจี ติดโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคาให้เสี่ยงรั่ว พร้อมทั้งขออนุญาตติดตั้งโซลาร์ให้ทั้งกระบวนการ ตั้งเป้าปลายปี 64 เติบโต 600%
คุณธงชัย โสภณ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท เอสซีจี รูฟฟิ่ง จำกัด ในเอสซีจี เผยว่า เอสซีจี ในฐานะผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง ไม่เคยหยุดนิ่งในการคิดค้นพัฒนาคุณภาพสินค้า และบริการ ที่ช่วยตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านของผู้บริโภค โดยช่วงปีที่ผ่านมาพฤติกรรมของเจ้าของบ้านเปลี่ยนไป หันมาใช้ชีวิตภายในบ้านมากขึ้น รวมถึงการ Work From Home เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และมลพิษฝุ่น PM 2.5 ทำให้มีการใช้ไฟ – เปิดแอร์ช่วงกลางวันมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นถึง 30-50% เจ้าของบ้านจึงมองหาโซลูชั่นที่ช่วยลดรายจ่ายเรื่องค่าไฟโดยเฉพาะการติดโซลาร์รูฟ ผนวกกับเทคโนโลยีโซลาร์พัฒนาถึงจุดที่คุ้มทุนภายใน 7-10 ปี หากมองในแง่การลงทุน การติดตั้งโซลาร์รูฟ ให้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปี ถือว่ามากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ประกอบกับภาครัฐมีการปรับเกณฑ์การรับซื้อไฟคืนในโครงการโซลาร์ภาคประชาชน 2564 เป็น 2.20 บาทต่อหน่วย จากเดิม 1.68 บาทต่อหน่วย การลงทุนติดโซลาร์รูฟจึงน่าสนใจและคุ้มค่าขึ้นอีกขั้น
“ภาพรวมตลาดโซลาร์ทั่วโลกมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมถึงในประเทศไทยตลาดโซลาร์ก็มีการเติบโตต่อเนื่องเช่นเดียวกัน มีมูลค่าตลาดสูงถึง 8,200 ล้านบาท จากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป โซลาร์รูฟจึงเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจในระบบโซลาร์ของลูกค้ายังมีไม่มาก เช่น การติดตั้งที่ได้มาตรฐาน, มาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ รวมถึงการขออนุญาตกับภาครัฐ ทางเอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น จึงพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยเรามีการผลักดันช่องทางการขายแบบ Omni-Channel และทำการตลาดผ่าน Digital Marketing อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขายของเอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น เติบโตเกือบ 200%” คุณธงชัยกล่าวต่อว่า “สำหรับปี 2564 นี้ เราตั้งเป้าหมายเข้าถึงลูกค้า 2 กลุ่ม คือ กลุ่มงานบ้าน และโดยเฉพาะกลุ่มงานโรงงาน – อาคาร “เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” พร้อมบุกตลาดกลุ่มโรงงาน และอาคารที่มีการใช้ไฟกลางวันต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลดรายจ่ายค่าไฟฟ้าให้เจ้าของธุรกิจ โดยมีความพร้อมทั้งทีมวิศวกรที่จะให้คำปรึกษาด้านการจัดการพลังงาน (Experienced Energy Consultant) เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานระบบโซลาร์อย่างสูงสุด ซึ่งการติดโซลาร์รูฟในภาคธุรกิจมีจุดคุ้มทุนภายใน 5-6 ปีเท่านั้น รวมถึงมีบริการให้คำปรึกษาด้านการลงทุน (Investment Consultant) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการลงทุนของแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยเรามีทีมติดตั้งที่พร้อมให้บริการทั่วประเทศ ตั้งเป้าเติบโตปลายปี 2564 กว่า 600%”
“เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น” มีสินค้าและบริการที่จะช่วยตอบโจทย์เจ้าของบ้าน และเจ้าของธุรกิจ “มั่นใจ” ด้วยการออกแบบการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟ จากทีมวิศวกรเพื่อการผลิตไฟได้สูงสุด โดยช่วยลดค่าไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 60% “ไร้กังวล” มีการตรวจสอบสภาพความพร้อมของหลังคา (Roof Health Check) เพื่อให้มั่นใจว่าหลังคาพร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟ และหากมีปัญหาจะดำเนินการแก้ไขให้โดยทีมช่างจากเอสซีจี นอกจากนี้ยังติดตั้งโซลาร์รูฟ โดยไม่ต้องเจาะหลังคาด้วยนวัตกรรม Solar FIX ไม่เสี่ยงรั่ว สิทธิบัตรเฉพาะเอสซีจีเท่านั้น “สินค้าคุณภาพ” แผงโซลาร์ Tier 1 เทคโนโลยีการผลิตจากสหรัฐอเมริกา รับประกันตัวแผงโซลาร์ และประสิทธิภาพการผลิตไฟนาน 25 ปี ในส่วนของอินเวอร์เตอร์ (ระบบแปลงไฟ) ใช้เทคโนโลยีสวิสเซอร์แลนด์ รับประกัน 10 ปี “สะดวก” ดำเนินการขออนุญาตติดตั้งโซลาร์ให้ทั้งกระบวนการ และสามารถติดตามการผลิตไฟได้ Real Time ผ่าน SCG Solar Application และมี “บริการหลังการขาย” ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่า เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชั่น พร้อมอยู่ดูและเคียงข้างไปตลอดระยะเวลารับประกัน 25 ปี
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด