ในยุคที่วิถีชีวิตรีบเร่งขึ้นทุกขณะ ผู้คนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมงใน 7 วัน กระทั่งสมาร์ทโฟนกลายเป็นสิ่งแรกที่ผู้คนหยิบคว้าตั้งแต่ลืมตาตื่น ส่งผลให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันไปหาอุปกรณ์ที่ช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้นและเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น Smart IoT หรือ Internet of Things เจ้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเตอร์เน็ต จึงเข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างแท้จริง อีกทั้งยังส่งผลให้ตลาดของ IoT ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
จากรายงานของ Fortune Business Insights ได้ทำการวิเคราะห์ตลาด IoT ทั่วโลก พบว่าอุตสาหกรรมอุปกรณ์สมาร์ทโฮมทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 130 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ที่ผ่านมา คาดว่าในปี 2567 จะมีการส่งมอบอุปกรณ์ IoT ทั่วโลกมากกว่า 1.4 พันล้านชิ้น และคาดว่าในปี 2569 ตลาดจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นถึงประมาณ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ Asian IoT Business Platform ยังสำรวจพบว่า 89% ของบริษัทในประเทศไทยใช้โซลูชัน IoT มากเป็นอันดับ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้เกิดผู้เล่นจำนวนมากในตลาดนี้
และหนึ่งในบริษัทที่น่าจับตามองของธุรกิจ Smart IoT ของประเทศไทยก็คือ บริษัท T3 Technology จำกัด ที่แม้ว่าจะก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยได้เพียง 2-3 ปี แต่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินงานที่จับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ทำให้การเปิดตลาด IoT ในประเทศไทยของ T3 Technology ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
Mr. David Chen (เดวิด เฉิน) Vice President of T3 Technology, Head of Retail Business กล่าวถึงภาพรวมของบริษัท T3 Technology จำกัด ว่า “T3 Technology ได้ก่อตั้งสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยเมื่อปี 2561 เพื่อเจาะกลุ่มตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยดำเนินธุรกิจใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ CPE, Smart IoT และโซลูชันระบบโทรคมนาคมแบบ end-to-end ซึ่งปัจจุบันเราเป็นผู้ให้บริการโซลูชันโทรคมนาคมชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการลูกค้ามากกว่า 2 ล้านครัวเรือนและมีผู้ใช้งานกว่า 8 ล้านคน ด้วยความสามารถในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่ง ตลอดจนระบบบริการแบบครบวงจรทำให้ T3 Technology มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากด้านอุปกรณ์สื่อสารไฮเทคในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโซลูชัน 5G ถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่มีส่วนแบ่งสูงสุด”
ด้วยพันธกิจของ T3 Technology คือการมุ่งมั่นในการสร้างแบรนด์ของตัวเองแบบครบวงจร ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลเชิงลึกของตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีประสิทธิภาพสูง การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การส่งเสริมการขายทางการตลาด ตลอดจนการให้บริการทางเทคนิคต่างๆ โดยจุดเด่นในการดำเนินงานของ T3 Technology จะยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางอย่างเสมอมา
“ผู้บริโภคในประเทศไทยมีการใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างง่ายดายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อมีการเจาะตลาด IoT ในประเทศไทย สินค้าภายใต้ชื่อแบรนด์ T3 Smart IoT จึงได้รับความสนใจและการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เปิดรับต่อสิ่งใหม่ ๆ และต้องการคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งนอกเหนือจากประสบการณ์ในการใช้งานที่สะดวกง่ายดายแล้ว เอกลักษณ์ที่แตกต่างของ T3 Smart IoT คือ การอยู่เคียงข้างผู้ใช้งานเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำตั้งแต่วินาทีที่ตัดสินใจซื้อ”
“เราผลิตคลิปวิดีโอและสื่อกราฟิกที่เข้าใจง่ายผ่านทางโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ เพื่อให้คำแนะนำการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ทีมงานของเรายังมีการสื่อสารผ่านทางออนไลน์เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานได้อย่างทันท่วงที จึงไม่ต้องกังวลว่าจะพบเจอปัญหาที่ซับซ้อนหรือแก้ไขไม่ได้เมื่อเลือกใช้อุปกรณ์ของ T3 Smart IoT” เดวิด เฉิน กล่าว
แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 แต่อุตสาหกรรม IoT กลับเติบโตและมีศักยภาพมากขึ้น อีกทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยยังให้การส่งเสริมกลยุทธ์เศรษฐกิจใหม่ภายใต้ "ยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0" ซึ่งจะปรับโฉมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยจากการพึ่งพาการผลิตแบบเดิม ๆ สู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ดังนั้น การส่งเสริมการพัฒนา IoT จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ โดยมีการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2573 ตลาด IoT ของประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 2.19 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะทำให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนอีกด้วย
“จากนโยบายของภาครัฐ ส่งเสริมให้ T3 Technology เดินหน้าพัฒนาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อัจฉริยะ การพัฒนาแอปพลิเคชั่น และคลาวด์แพลตฟอร์ม เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของ T3 Smart IoT ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ ทั้งการผสานความร่วมมือกับกลุ่มองค์กรชั้นนำ อาทิ ทรู โลตัส เซเว่น-อีเลฟเว่น ตลอดจนผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างๆ ควบคู่ไปกับการมีช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซ ผู้ประกอบการรายย่อย เครือข่ายค้าปลีกขนาดใหญ่ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายเครื่องใช้ในบ้าน ร้านขายของตกแต่งบ้าน ร้านไอที และร้านค้าอื่น ๆ อีกทั้งยังจะนำเสนอสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและเพลิดเพลินไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ”
จากการศึกษาข้อมูลผู้ใช้งาน IoT พบว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับเป็นตลาดใหญ่ที่บริษัทชั้นนำระดับโลกต่างเข้ามาทำตลาด IoT โดยปัจจัยดึงดูดสำคัญคือจำนวนประชากรที่มากกว่า 650 ล้านคน โดยประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี คิดเป็น 33.8% ของประชากรทั้งภูมิภาค ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่พร้อมที่จะเปิดรับสิ่งใหม่ๆได้อย่างไม่ลังเล และได้กลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมต่าง ๆ ประกอบกับความนิยมของสมาร์ทโฟน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอินเทอร์เน็ต และอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือที่มีความรวดเร็วมากขึ้น ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรม IoT ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา T3 Technology ประสบความสำเร็จในการสร้างตลาด IoT ในประเทศไทย ปากีสถานและอินโดนีเซีย ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ T3 Technology เติบโตอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ CPE บรอดแบรนด์ที่ขึ้นเป็นอันดับ 1 ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโซลูชัน 5G เป็นตลาดใหม่ที่ได้ส่วนแบ่งสูงสุด และกลุ่มสินค้า Smart IoT ซึ่งเราคาดว่าในปี 2564 T3 Technology จะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้วยความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ T3 Technology มีโอกาสขยายบริการ T3 Smart IoT ไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนามและประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
“ จากการเจาะกลุ่มตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการวิเคราะห์ตลาดได้อย่างแม่นยำ เราเชื่อว่า T3 Smart IoT คือแบรนด์ IoT ที่มาแรงที่สุดและมอบความได้เปรียบแก่ผู้ใช้งานมากที่สุดในเวลานี้ และเรายังตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้ธุรกิจกลุ่มโฮมเทอร์มินอลและกลุ่ม Smart IoT ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้าอีกด้วย”นายเดวิด เฉิน กล่าวทิ้งท้าย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด