ในยุคที่การค้าอีคอมเมิร์ซมีความปลอดภัยสูงขึ้น ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า รวมถึงการเข้าถึงการใช้ชีวิตของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน วีซ่า ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาระบบความปลอดภัยร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากความเสี่ยงในการถูกโจรกรรมข้อมูล
การชำระเงินรูปแบบดิจิตอลยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค สืบเนื่องจากการที่ผู้บริโภคเข้าถึงอีคอมเมิร์ซและเปิดรับการทำธุรกรรมแบบไร้เงินสดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งกลุ่มธนาคารและหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการเงินได้เล็งเห็นประโยชน์จากการทำธุรกรรมการชำระเงินในรูปแบบดิจิตอล ที่นอกจากจะสามารถช่วยเพิ่มความสะดวกแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างนวัตกรรม และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินสด จึงทำให้หน่วยงานต่าง ๆ มีการส่งเสริมการชำระเงินในรูปแบบนี้มากยิ่งขึ้น
แต่กระนั้นก็ตามพัฒนาการการใช้จ่ายเงินในรูปแบบดิจิตอลยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลในระบบนิเวศน์ ที่ดึงดูดอาชญากรในโลกไซเบอร์ จากผลวิจัยของอุตสาหกรรมฯ มีการคาดการณ์ว่าในอีกห้าปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มที่การโจรกรรมข้อมูลบนโลกออนไลน์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสูญเสียกว่า 130 พันล้านดอลล่าสหรัฐในกลุ่มผู้ค้าปลีกทั่วโลกเกิด
โจ คันนิ่งแฮม ผู้อำนวยการฝ่ายการบริหารจั
ธนาคารผู้ออกบัตร และร้านค้าต่างเร่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในการเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคได้ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลการชำระเงินผ่านหลากหลายช่องทางและอุปกรณ์ ภายในปี 2564 คาดว่าจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมถึงกันมากกว่า 25 พันล้านเครื่อง
เมื่อผู้บริโภคมีการซื้อและชำระเงินผ่านอุปกรณ์ดิจิตอลเพิ่มขึ้น วีซ่า เป็นตัวแปรสำคัญในการชเสริมความปลอดภัยของระบบนิเวศในการชำระเงิน ด้วยการเพิ่มเลเยอร์ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำคัญของผู้ถือบัตร ด้วยโซลูชั่น และบริการต่างๆ ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ผ่านการปกป้องข้อมูล และเปลี่ยนข้อมูลสำคัญให้เป็นข้อมูลที่นำไปใช้ต่อไม่ได้สำหรับอาชญากรในโลกไซเบอร์
วิธีการนี้ได้ช่วยให้สถิติการโจรกรรมข้อมูลบัตรทั่วโลกให้อยู่ในอัตราที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ ในขณะที่การใช้จ่ายเงินในรูปแบดิจิตอลเติบโตอย่างต่อเนื่อง วีซ่าคาดว่าภายในปี 2568 การใช้จ่ายเงินในรูปแบบดิจิตอลยังจะเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ขยับตาม
นวัตกรรมนั้นเปรียบเสมือนดาบสองคม ภัยคุกคามของอาชญากรรมไซเบอร์จะมีความซับซ้อนและแพร่หลายมากขึ้น วีซ่า ได้ร่วมกับอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาโซลูชั่นและวิธีการใหม่ๆ เพื่อเสริมความปลอดภัยในอีคอมเมิร์ซ และป้องกันการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้น
หนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือโซลูชั่น Visa Advanced Authorisation ที่ทำงานโดยการประยุกต์เทคโนโลยี Machine Learning เข้ากับ Artificial Intelligence ในการตรวจหาข้อมูลความเสี่ยงต่างๆ มากกว่า 500 จุด เพื่อประเมิณว่าธุรกรรมนั้นๆ อาจเป็นการโจรกรรมหรือไม่ โดยคะแนนจะถูกส่งต่อให้กับสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการอนุมัติแต่ละธุรกรรม โดยเฉลี่ยในแต่ละวัน วีซ่าจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะนี้มากกว่าหกพันล้านรายการ
ในเอเชียแปซิฟิก ตลาดอีคอมเมิร์ซคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2564 และจะทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นตลาดช็อปปิ้งออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Tokenisation จะช่วยให้ผู้ใช้บัตรวีซ่ามั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่รั่วไหลขณะซื้อสินค้าออนไลน์ บริการโทเค็นของวีซ่า (Visa Token Service) จะทำหน้าที่เปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญของผู้ถือบัตร เช่น หมายเลขหน้าบัตร 16 หลัก เป็นข้อมูลดิจิตอลอื่นๆที่เรียกว่าโทเค็น โดยโทเค็นนี้จะช่วยให้การชำระเงินแบบดิจิตอลเกิดขึ้นได้โดยไม่เผยข้อมูลสำคัญๆของผู้ถือบัตร
“เรามองเห็นอนาคตที่พาสเวิร์ดอาจไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยแทนที่ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ เพื่อการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาในการโจรกรรมข้อมูล ในขณะที่รัฐบาลและธุรกิจต่างมองหาช่องทางการขยายวิธีการชำระเงินใหม่ๆ วีซ่ายังคงจะมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาและลงทุนในมาตรฐานความปลอดภัย เพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงินที่ปลอดภัยปลอดภัยและไร้รอยต่อสำหรับผู้บริโภค” มร. คันนิ่งแฮมกล่าวเสริม
งานประชุมสุดยอดความมั่นคงทางการรักษาความปลอดภัยในระบบชำระเงินของวีซ่า ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2562 ถือเป็นหนึ่งในงานความปลอดภัยด้านการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 20 มิถุนายน 2562 และได้รวบรวมผู้บริหารที่ดูแลด้านความเสี่ยงชั้นนำระดับภูมิภาคไว้ภายในงานมากมาย เพื่อรวมแบ่งปันประสบการณ์และแนวทางการปฏิบัติด้านนวัตกรรมการชำระเงิน ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน เพื่อรับฟังและปูทางสำหรับทิศทางอุตสาหกรรมการเงินในอนาคต
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด