4 สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณกำลัง 'ทุ่มเท' ให้กับงานมากไป | Techsauce

4 สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณกำลัง 'ทุ่มเท' ให้กับงานมากไป

เคยไหมที่..

  • ตอนกินข้าวแต่ในหัวคิดแต่งาน 
  • ตื่นเช้ามาต้องเช็คอีเมล 
  • ต้องเทนัดเพื่อน เพราะ "ต้อง" ทำงานให้เสร็จ

ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลัง "ทุ่มเท" ให้กับงานมากเกินไปได้และมันอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด

สำหรับคนที่ตั้งใจทำงาน อยากทำให้ดีที่สุด การ "ทุ่มเท" ให้งานมันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากเกินไป มันก็อาจทำให้เรา Burnout หรือกระทบกับชีวิตด้านอื่นๆ ได้

4 สัญญาณบอกว่าคุณ "ทุ่มเท" ให้กับงานเกินไป

บางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า "พอดี" กับ "มากไป" มันต่างกันยังไง ลองสังเกตอาการเหล่านี้ดู:

  • โดนวิจารณ์นิดหน่อยก็ "นอยด์" ไปทั้งวัน: แค่อีเมลสั้นๆ บอกว่า "ขอคุยกันหน่อย" ก็ทำให้ใจไม่ดีไปทั้งวัน ถ้าเป็นแบบนี้ อาจเป็นเพราะคุณเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกไว้กับงานมากเกินไป จริงๆ แล้วเราต้องแยกให้ออกว่านี่คือคำวิจารณ์ "งาน" ไม่ใช่ "ตัวเรา" ซึ่งทุกคำติชมไม่ได้หมายความว่าคุณไม่เก่งหรือไร้ค่า
  • งานตามมาหลอกหลอนถึงบ้าน: ไม่ใช่แค่ตอบอีเมลหลังเลิกงานนานๆ ที แต่มันคือการที่ในหัวมีแต่งานตลอดเวลา จะกินข้าว ดูหนัง หรือนอนอยู่ดีๆ ก็คิดถึงแต่งาน แบบนี้แสดงว่า Work Life Balance ของคุณอาจค่อยๆ เริ่มหายไป หรือไม่คุณอาจต้องลองหากิจกรรมอื่นทำบ้างแล้ว
  • เป็นคนรับทุกอย่าง ถ้าคุณเป็นคนที่ "ไม่กล้า" ปฏิเสธใคร คอยช่วยเหลืองานทุกอย่าง แบบนี้อาจเป็นเพราะคุณกลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบหรือเปล่า? ในบ้างครั้งการลองหัดปฏิเสธบ้างก็ไม่ได้แย่เสมอไป
  • งาน คือทุกอย่างในชีวิต จนลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร: ถ้าถามว่าคุณเป็นใคร คุณตอบได้แค่ว่าทำอาชีพอะไร อาจต้องลองหากิจกรรมอื่นๆ ที่ชอบทำดูบ้างแล้ว เพราะการมีหลายๆ ด้านในชีวิต จะช่วยให้เรามีความสุขและรับมือกับความเครียดได้ดีกว่า การผูก "ตัวตน" ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป (เช่น งาน) จะทำให้คุณอ่อนไหวทางอารมณ์และรับมือกับความเครียดได้ยากขึ้น

ทำไมการ "ทุ่มเท" มากเกินไปถึงไม่ดี?

เพราะมันทำให้เรา..

  • กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ เพราะกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี
  • ทำงานหนักเกินไป จนไม่มีเวลาพักผ่อน
  • ชีวิตส่วนตัวพัง เพราะมีแต่งาน
  • ตัดสินใจอะไรก็ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล

แล้วจะบาลานซ์ชีวิตยังไงดี

1. แยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัว: พยายามมองว่าคำวิจารณ์คืองาน ไม่ใช่ตัวเรา ถ้าโดนวิจารณ์ ลอง..

  • เขียนสิ่งที่โดนวิจารณ์ลงไป
  • เขียนว่ารู้สึกยังไงกับคำวิจารณ์นั้น
  • มองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์จากคำวิจารณ์นั้น
  • วางแผนว่าจะปรับปรุงอะไรบ้าง

2. สร้าง "เส้นแบ่ง" ให้ชัดเจน: กำหนดเวลาเลิกงานให้ชัดเจน แล้วทำตามนั้นอย่างเคร่งครัด อาจจะหากิจกรรมทำหลังเลิกงาน เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง หรืออ่านหนังสือ

3. หาอะไรทำนอกจากงาน: ลองหากิจกรรมใหม่ๆ ที่ชอบ เช่น เรียนภาษา เรียนทำอาหาร หรือเล่นกีฬา การมีอะไรทำนอกจากงาน จะช่วยให้เราไม่เครียดจนเกินไป

4. ใช้ความรู้สึก "เบื่อ" หรือ "เหนื่อย" เป็นสัญญาณเตือน ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่า “ทำไมฉันต้องเป็นคนจัดการทุกอย่าง” หรือ “ทำไมฉันทำเยอะแต่ไม่มีใครเห็นค่า” นั่นเป็นสัญญาณว่าคุณต้องกลับมาดูแลตัวเองและตั้งขอบเขตให้ชัดขึ้น

การรักงานเป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองด้วย เพราะถ้าเราไม่ไหว งานก็อาจจะพังตามไปด้วยเหมือนกัน

อ้างอิง: cnbc

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

คนรุ่นใหม่แกล้งยุ่ง ต้านคำสั่งกลับเข้าออฟฟิศ ด้วยเทรนด์ "Task Masking"

Task Masking คือการแกล้งทำเป็นยุ่ง เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำงานหนักในออฟฟิศ ทั้งที่จริง ๆ แล้วประสิทธิภาพหรือปริมาณงานที่ทำอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เทรนด์นี้ถูกพูดถึงอย่างมากใน TikTo...

Responsive image

“ตั้งคำถามให้เป็น” ทักษะที่ Sam Altman ชี้ว่าสำคัญที่สุดในยุค AI

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI ชี้ว่าทักษะสำคัญในยุค AI ไม่ใช่แค่ 'รู้เยอะ' แต่ต้อง 'รู้จักตั้งคำถาม' เพราะการตั้งคำถามที่ดี จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูล เชื่อมโยงความคิดและสร้างนวัตกร...

Responsive image

บทเรียนสำคัญ จากการปลดพนักงานครั้งใหญ่ของ Meta องค์กรควรเรียนรู้อะไร?

เมื่อต้นปี 2024 มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ประกาศเตือนพนักงานว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทาย พร้อมย้ำว่าบริษัทจะเข้มงวดกับการประเมินผลงานมากขึ้น โดยเฉพาะกับพนักงานที่ทำผลงานไม่...