
ในยุคที่ AI ถูกพูดถึงในทุกมิติ ตั้งแต่การเพิ่ม Productivity ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงโลก ดร. พัทน์ ภัทรนุธาพร, Assistant Professor of Media Arts and Sciences ของ MIT Media Lab และ Co-director แห่งโปรแกรมวิจัย Advancing Humans with AI (AHA) ได้ขึ้นเวที KBTG Techtopia: At World's Beginning ในเซสชั่น Cyborg Intelligence: Designing Human-AI Interactions for Human Flourishing เพื่อนำเสนอมุมมองที่ไปไกลกว่าแค่การสร้าง AI ที่ฉลาดขึ้น แต่เป็นการตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี ผ่านวิสัยทัศน์ที่เรียกว่า "Cyborg Intelligence"

ถ้าไดโนเสาร์มีเทคโนโลยี อนาคตจะเป็น Super Intelligence หรือ Super Stupidity?
ดร. พัทน์ เริ่มต้นด้วยการโยนคำถามกระตุ้นความคิด นั่นคือ “ถ้าไดโนเสาร์มีเทคโนโลยีเหมือนมนุษย์ในปัจจุบัน พวกมันจะสามารถอยู่รอดจากการสูญพันธุ์ได้หรือไม่?”
คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบทางบรรพชีวินวิทยา (Paleontology) แต่เป็นภาพสะท้อนอนาคตของมนุษย์เราเอง เพราะเทคโนโลยีที่ไดโนเสาร์หรือมนุษย์มีนั้น อาจจะนำไปสู่
- Amplifier (ขยายศักยภาพ): กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้พวกมันฉลาดขึ้น แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ และนำไปสู่ Super Intelligence
- Distorter (บิดเบือนความจริง): กลายเป็นเครื่องมือสร้างข่าวปลอม, ความแตกแยก, และความเข้าใจผิด จนทำให้ตัดสินใจพลาดและนำไปสู่ Super Stupidity
“ที่ MIT เราไม่ได้สนใจแค่ AI แต่เราสนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยี เพราะสิ่งนี้คือตัวกำหนดว่าเราจะได้ Super Intelligence หรือ Super Stupidity” ดร. พัทน์ กล่าว นี่คือที่มาของแนวคิด Cyborg Intelligence ที่มองมนุษย์และ AI เป็นระบบสติปัญญาที่หลอมรวมกัน และเป็นภารกิจหลักของโปรแกรม AHA ที่เขาเป็นผู้นำ

3 หัวใจหลักสู่ Cyborg Intelligence ตั้งแต่การสร้าง (Invent), สำรวจ (Investigate), และจุดประกาย (Inspire)
งานวิจัยของ ดร. พัทน์ และทีมงานที่ MIT Media Lab ตั้งอยู่บน 3 แนวทางหลัก เพื่อสร้างเส้นทางสำหรับอนาคตที่มนุษย์และ AI จะเติบโตไปพร้อมกัน
Invent: การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ผนวกมนุษย์และ AI อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่คือการสร้างเครื่องมือและแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่ทลายเส้นแบ่งระหว่างความคิดของมนุษย์และปัญญาประดิษฐ์
- Future You: โปรเจกต์ที่พัฒนาร่วมกับ KBTG และคว้ารางวัลระดับโลกอย่าง World Changing Ideas 2025 คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด โปรเจกต์นี้ใช้ Generative AI เพื่อสร้าง "ตัวตนของเราในเวอร์ชันอนาคต" ขึ้นมาพูดคุยกับตัวเราในปัจจุบัน ผลการวิจัยเชิงจิตวิทยาพบว่า การมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเองในอนาคตช่วยเพิ่ม Future Self-Continuity หรือความรู้สึกเชื่อมโยงกับอนาคต ทำให้ผู้คนเริ่มคิดถึงการวางแผนระยะยาวมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- Large Human Model (LHM): ก้าวต่อไปของโมเดลภาษา คือการสร้างโมเดลที่เข้าใจและทำนาย "มิติของมนุษย์" ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทีมวิจัยได้ทดลองสร้าง LHM จากข้อมูลของประชากรกว่า 64,000 คนใน 64 ประเทศ เพื่อทำนายสภาวะความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ผลลัพธ์เบื้องต้นชี้ว่ามีความแม่นยำสูง แต่ก็เผยให้เห็นความท้าทายสำคัญคือ "Data Bias" ซึ่งโมเดลจะทำนายได้ไม่ดีในประเทศที่มีข้อมูลน้อยกว่า
- Talk to the Hand: อีกหนึ่งความร่วมมือกับ KBTG เพื่อปฏิวัติ User Interface (UI) แทนที่จะต้องสลับหน้าจอไปคุยกับ Chatbot, Talk to the Hand ทำให้ AI เป็นเหมือน "ผู้ช่วยที่ปรากฏตัวบนหน้าจอ" หรือ "เมาส์อีกอัน" ที่สามารถชี้, วง, และให้คอมเมนต์บนงานของผู้ใช้ได้โดยตรง ซึ่งผลการทดลองพบว่าช่วย ลดภาระทางความคิด (Cognitive Load) ได้อย่างมหาศาล
- ถอดรหัสวงจรประสาท AI (Neural Circuit Tracing): ทีมวิจัยกำลังเจาะลึกเข้าไปใน "กล่องดำ" ของ AI เพื่อค้นหาสิ่งที่เรียกว่า "Empathy Circuit" หรือวงจรที่ทำให้ AI สามารถแสดงพฤติกรรมที่เห็นอกเห็นใจได้ "แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความเห็นใจที่แท้จริงแบบมนุษย์ แต่การที่เราเข้าใจกลไกนี้ จะทำให้เราสร้าง AI ที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ดีขึ้น เหมือนกับการทำ fMRI สแกนสมองเพื่อดูการทำงานส่วนต่างๆ" ดร. พัทน์ อธิบาย

Inspire: การใช้ AI จุดประกายวัฒนธรรมและศิลปะให้ก้าวไปข้างหน้า
AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังเป็นพู่กันสำหรับศิลปินแห่งยุคดิจิทัล หนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าสนใจและนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้อย่างดี นั่นคือ 'AI x นาฏศิลป์ไทย' โปรเจกต์ที่ทำร่วมกับ คุณพิเชษฐ กลั่นชื่น ศิลปินแห่งชาติของไทย คือการใช้ AI ถอดรหัส (Deconstruct) ท่ารำแม่บทใหญ่ออกมาเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน แล้วนำมา ประกอบสร้างใหม่ (Reconstruct) เพื่อสร้างสรรค์ท่ารำที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ยังคงมี "DNA" และรากเหง้าของวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่ครบถ้วน “นี่คือการสร้างวัฒนธรรมของอนาคตที่ไม่ลบหลู่อดีต แต่ทำให้อดีตกลับมามีชีวิต” ดร. พัทน์ กล่าว สิ่งนี้คือการสร้าง Soft Power ที่อาจทำให้ท่ารำที่มี DNA ไทยไปปรากฏในเวทีระดับโลกอย่าง K-Pop หรือ T-Pop ได้
Investigate: การสำรวจและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ใหม่ในยุค Cyborg
เมื่อมนุษย์และ AI ใกล้ชิดกันมากขึ้น ย่อมเกิดปรากฏการณ์ทางสังคมและจิตวิทยาใหม่ๆ ที่ต้องศึกษาอย่างจริงจัง
- Atlas of Human-AI Interaction: ทีมวิจัยใช้ AI วิเคราะห์งานวิจัยด้าน Human-AI Interaction นับพันชิ้นทั่วโลก เพื่อสร้าง "แผนที่องค์ความรู้" ที่ชี้ให้เห็นว่าหัวข้อใดที่ถูกวิจัยอย่างหนาแน่นเกินไป (Oversaturated) และยังมีช่องว่าง (Research Gaps) ตรงไหนที่นักวิจัยรุ่นใหม่ควรเข้าไปสำรวจ
- เมื่อมนุษย์มีแฟนเป็น AI: เกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพจิตของเราในระยะยาว? นี่คือคำถามที่นำไปสู่ความร่วมมือกับ OpenAI ในการทำการทดลองขนาดใหญ่ (Large-scale randomized control trial) เพื่อศึกษาผลกระทบของ AI ต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้คน โดยทดลองกับโมเดลหลายรูปแบบ ทั้งแบบที่ใช้เสียง, ข้อความ, หรือแม้กระทั่งโมเดลที่ถูกออกแบบให้มีพฤติกรรมส่งเสริมสังคม (Pro-social) และต่อต้านสังคม (Anti-social)
- ผลักดัน Benchmark ใหม่เพื่อ Human Flourishing: ข้อมูลจากการวิจัยเหล่านี้ทำให้ ดร. พัทน์ และนักวิจัยชั้นนำทั่วโลกจาก Google, DeepMind, Microsoft, Stanford, Harvard กำลังร่วมกันสร้างมาตรฐานการวัดผล AI ใหม่ ที่ไม่ได้วัดแค่ความแม่นยำ (Accuracy) แต่จะวัดว่า “AI ช่วยให้มนุษย์เติบโตและเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นได้หรือไม่?” ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวงการ AI ทั้งหมด
- จากงานวิจัยสู่นโยบายจริง: งานวิจัยเหล่านี้ได้สร้างผลกระทบในโลกแห่งความเป็นจริง โดยถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการให้คำแนะนำด้านนโยบายทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการร่างกฎหมายในรัฐแคลิฟอร์เนียที่กำหนดให้แพลตฟอร์ม AI ต้องมีกลไกป้องกันปัญหาสุขภาพจิตและการฆ่าตัวตายของผู้ใช้งาน

ความย้อนแย้งแห่งยุคสมัย และเป้าหมายในการ "เป็นมนุษย์ให้มากขึ้น"
หลังจากการเดินทางผ่านโครงการวิจัยที่น่าทึ่ง ดร. พัทน์ ได้ทิ้งท้ายด้วยภาพสะท้อนที่ชวนให้เราทุกคนกลับมาขบคิดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีแต่มนุษย์กลับเริ่มเดินถอยหลังมากขึ้น
"มันเป็นความย้อนแย้งที่น่าเศร้ามาก ที่เรากำลังพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้เทคโนโลยีมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ... พูดเหมือนเรา คิดเหมือนเรา สร้างสรรค์คล้ายๆ กับเรา แต่ในขณะเดียวกัน เรากลับยังปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันราวกับเป็นเครื่องจักร เป็นหุ่นยนต์... สิ่งที่เราควรทำคือการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้เราเป็นมนุษย์มากกว่าที่เคยเป็นมา"