บทเรียนจากฟุตบอลยูโรสู่ฟุตบอลโลกของ Meta ปกป้องนักเตะอย่างไรจากข้อความเหยียดผิว | Techsauce

บทเรียนจากฟุตบอลยูโรสู่ฟุตบอลโลกของ Meta ปกป้องนักเตะอย่างไรจากข้อความเหยียดผิว

ฟุตบอลโลก 2022 ได้เปิดม่านขึ้นแล้วเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนลูกหนังทั่วโลก Meta บริษัทแม่ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Instagram กำลังพยายามจัดการและหาวิธีควบคุมเนื้อหาที่ดูหมิ่นหรือสร้างความเกลียดชัง เพื่อปกป้องทั้งนักกีฬาและแฟนบอล หลังมีบทเรียนจากศึกยูโรเมื่อปีที่ผ่านมา

ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียถูกตั้งคำถามถึงมาตรการควบคุมและสกัดกั้นเนื้อหาเชิงลบ ที่ไม่สามารถปกป้องนักเตะผิวดำของทีมชาติอังกฤษ จากการถูกโจมตีทางโลกออนไลน์ได้

ย้อนรอยยูโร เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงพากันแบน Meta

คู่ชิงชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ระหว่างทีมชาติอิตาลีและทีมชาติอังกฤษ จบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติอิตาลี หลังดวลจุดโทษชนะ 3 ประตูต่อ 2  มาร์คัส แรชฟอร์ด, บูคาโย ซาก้า และเจดอน ซานโช่ ตกเป็นเป้าโจมตีของแฟนบอลในโลกออนไลน์ที่กระหน่ำแสดงความเห็นด้วยข้อความที่มีเนื้อหาเชิงลบ หลังทั้งสามคนพลาดจุดโทษ

ทำให้ Facebook Instagram รวมถึง Twitter ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไม่มีมาตรการหรือขั้นตอน ที่จะสามารถปกป้องนักกีฬาได้ บูคาโย ซาก้า หนึ่งในนักเตะที่ถูกโจมตี ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงแพลตฟอร์มเช่นกัน

สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Facebook Instagram และ Twitter ผมไม่ต้องการให้เด็กหรือผู้ใหญ่ได้รับข้อความที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและทำร้ายจิตใจ แบบที่ผม มาคัส (แรชฟอร์ด) และเจดอน (ซานโช่) ได้รับ ผมรู้ได้ทันทีถึงความเกลียดชังที่ผมกำลังจะได้รับ และนั่นเป็นความจริงที่น่าเศร้า ที่แพลตฟอร์มอันทรงพลังของคุณไม่ได้ทำอะไรมากพอที่จะหยุดข้อความเหล่านี้

เหตุการณ์ครั้งนั้นสะเทือนไปทั้งเกาะอังกฤษ อดีตนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน และเจ้าชายวิลเลียม เป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาประนามการกระทำดังกล่าว ด้านทีมกีฬาชั้นนำและนักกีฬาทั่วทั้งประเทศออกมาคว่ำบาตรและโจมตีการทำงานของแพลตฟอร์ม เพื่อประท้วงความล้มเหลวของบริษัทในการจัดการโพสต์เหยียดผิวและเหยียดเพศ

ในแถลงการณ์ของ Premier League ลีกฟุตบอลสูงสุดของอังกฤษ ระบุว่า พวกเขาสนับสนุนการคว่ำบาตรแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ระหว่างวันที่ 30 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2021 และเรียกร้องให้พวกเขาออกมาทำอะไรมากกว่านี้ เพื่อกำจัดความเกลียดชังบนโลกออนไลน์ ซึ่งรวมถึงการหาวิธีคัดกรอง บล็อก ลบโพสต์ที่ไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว และให้ความช่วยเหลือกับหน่วยงานด้านกฎหมาย ในการระบุตัวตนและลงโทษผู้กระทำผิด

นอกจากนั้น ในแถลงการณ์ยังเรียกร้องไปถึงรัฐบาล เพื่อให้แน่ใจว่าภาครัฐจะมีการบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Bill หรือร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยทางออนไลน์ ที่มุ่งเน้นสร้างพื้นที่ปลอดภัยบนโลกอินเทอร์เน็ต ในขณะเดียวกันก็ปกป้องการแสดงออกเสรีภาพในการแสดงออกด้วย

โดยกฎหมาย Online Safety Bill มีส่วนหนึ่งที่ระบุให้ แพลตฟอร์มต้องจัดการกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ของตน รวมถึงข้อความที่มีการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว และจะต้องมีกระบวนการที่เหมาะสมเพื่อหยุดผู้กระทำผิดที่ใช้แพลตฟอร์มของพวกเขาเพื่อเผยแพร่ความเกลียดชัง และจะต้องตอบสนองอย่างรวดเร็วหากมีผู้ใช้งานโพสต์เนื้อหาที่มีการเหยียดเชื้อชาติ โดยบริษัทที่ละเลยหน้าที่อาจต้องเสียค่าปรับจำนวนมากถึง 10% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม การผลักดันการใช้กฎหมายดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า และไม่มีรายงานว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกเทียบปรับแต่อย่างใด นอกจากนั้น จากผลสำรวจของ CCDH (Center for Countering Digital Hate) พบว่า 65 % ของ 206 บัญชีบน Instagram และ Twitter ที่ถูกรายงานว่าเหยียดเชื้อชาติต่อนักกีฬา ยังคงใช้งานอยู่บนแพลตฟอร์มในปีต่อมา ซึ่งแสดงถึงความล้มเหลวในการจัดการ 

ต่อข้อสงสัยนี้ โฆษกของ Meta ได้ออกมาตอบกลับว่า "ไม่มีใครควรถูกเหยียดผิว และเราไม่ต้องการให้มันปรากฏอยู่บน Instagram โดยปกติเราจะไม่ปิดบัญชีของใคร สำหรับการทำผิดกฎครั้งแรก เพราะเราเชื่อว่าผู้คนควรมีโอกาสแก้ไขพฤติกรรมของพวกเขา" 

เธอยังยืนยันว่าบริษัทไม่ได้เพิกเฉยต่อข้อความดูหมิ่น และทำการลบออกทันทีเมื่อพบเห็น รวมถึงจะปิดบัญชีสำหรับผู้ที่กระทำผิดซ้ำ ๆ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถพูดได้ว่าบริษัทไม่ทำอะไรเลย เพียงเพราะยังพบบัญชีผู้ใช้ที่กระทำผิดยังคงออนไลน์อยู่ 

ฟุตบอลโลก 2022 บททดสอบครั้งใหญ่อีกครั้ง 

จริงอยู่ที่เหตุการณ์หลังนัดชิงยูโรเมื่อปีก่อนได้สร้างการรับรู้ถึงการเหยียดเชื้อชาติบนโลกออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม นักกีฬาผิวดำมักตกเป็นเป้าโจมตีอยู่เสมอ และเป็นมานานแล้วด้วย และไม่ใช่ครั้งแรกที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียถูกตำหนิถึงระบบตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิภาพพอจะปกป้องพวกเขา ฟุตบอลโลกครั้งนี้จึงเหมือนเป็นเวทีที่ Meta จะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

ในบล็อกของ Meta ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่าบริษัทได้วางกฎเกณฑ์และบทลงโทษที่ชัดเจนเพื่อจัดการข้อความกลั่นแกล้ง การคุกคาม และข้อความแสดงความเกลียดชัง และบริษัทจะเดินหน้าเชิงรุกด้วยการใช้เทคโนโลยีเพื่อค้นหาเนื้อหาที่มีแนวโน้มจะละเมิดกฎดังกล่าวและจะลบทิ้งโดยอัตโนมัติ

รวมถึงระบุเพิ่มเติมว่า ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนปีนี้ บริษัทได้จัดการกับคำพูดแสดงความเกลียดชังมากกว่า 17 ล้านรายการบน Facebook และ Instagram และข้อความกว่า 90 % บริษัทสามารถจัดการได้ก่อนที่จะมีผู้รายงานเข้ามา โดยขณะนี้บริษัทได้พัฒนาฟีเจอร์ที่จะช่วยปกป้องนักฟุตบอลรวมถึงแฟน ๆ จากข้อความแสดงความเกลียดชังผ่าน Instagram เช่น 

  • Hidden word : ฟีเจอร์ที่จะช่วยปิดกั้นและคัดกรองข้อความที่ไม่ผู้ใช้ไม่ต้องการเห็น ที่ส่งมาทาง Direct Message หรือคอมเมนต์ของผู้ใช้งาน 


ภาพจาก : Meta 

  • Limits :  สำหรับนักฟุตบอลหรือครีเอเตอร์หลายคน พวกเขายังคงต้องการติดต่อและสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟน ๆ ทำให้พวกเขาไม่ต้องการปิดกั้นคอมเมนต์ Instagram จึงได้ปล่อยฟีเจอร์ Limits ที่เมื่อเปิดใช้งานแล้ว สามารถซ่อนคอมเมนต์หรือข้อความจากผู้ที่ไม่ได้ติดตามเรามาก่อนหน้านี้ เพราะมีหลายครั้งนักกีฬาถูกถล่มโจมตีหลังจากเกมฟุตบอลจบ จากแอคเคาท์ที่ไม่เคยติดตามพวกเขา 


ภาพจาก : Meta 

Meta มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นทางด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อตรวจจับเมื่อมีผู้ใช้งานพยายามโพสต์ความคิดเห็นที่อาจไม่เหมาะสม และเตือนพวกเขาว่าอาจละเมิดกฎ ปล่อยฟีเจอร์ที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้คนหยุดและคิดใหม่อีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะตอบกลับความคิดเห็นที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน

เราจะเตือนพวกเขาให้เคารพ (ผู้ใช้งานสาธารณะ)  ให้พวกเขาระลึกได้ว่า อีกด้านหนึ่งของกล่องข้อความ มีคนจริง ๆ อยู่


คำสัญญาของ Meta

Meta กล่าวในแถลงการณ์ว่า พวกเขาได้พูดคุยกับนักกีฬา ทีมฟุตบอล และสมาคมต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นประจำ ซึ่งรวมถึง FIFA เพื่อแจ้งให้ทราบและทำความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับนโยบายด้านความปลอดภัย และทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมชาติที่ร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก เพื่อช่วยให้ผู้เล่นสามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์ความปลอดภัยได้ รวมถึงกล่าวว่า จะร่วมมือกับหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายด้วย

“แม้เราจะทราบดีว่าไม่มีอะไรที่จะแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ แต่เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาเครื่องมืออย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องชุมชนของเรา และทำงานอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมฟุตบอลเพื่อให้แอปของเราเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับนักฟุตบอลและแฟน ๆ”

สำหรับผู้เขียน เรารู้สึกเห็นด้วยในถ้อยแถลงของ Meta เพราะไม่ว่าจะมีเครื่องมือ ระบบ ที่จะมาช่วยคัดกรองและหยุดผู้มุ่งจะโจมตีนักกีฬาด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม ใด ๆ เราก็ไม่สามารถหยุดการกระทำเหล่านั้นได้แบบเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้น เราควรระลึกอยู่ตลอดเวลาว่า "ในอีกด้านหนึ่งของกล่องข้อความ ยังมีคนจริง ๆ (มนุษย์) อยู่" 


อ้างอิง : theverge, nytimes

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...