เปิดห้องประชุม Netflix! ถอดรหัส 5 อาวุธลับ ปั้นแคมเปญไวรัลพันล้านวิว ที่ไม่ได้พึ่งโชคช่วย

เคยสงสัยไหมว่าทำไมทุกครั้งที่ Netflix ปล่อยหนังหรือซีรีส์เรื่องใหม่ เรามักจะเห็นแคมเปญการตลาดสุดสร้างสรรค์ที่กลายเป็นไวรัลในชั่วข้ามคืน ตั้งแต่การส่งตุ๊กตา ‘โกโกวา’ จาก Squid Game ล่องแม่น้ำเจ้าพระยา, การเปิดร้านอาหาร Hunger ใจกลางเมือง, ไปจนถึงการปล้นป้ายโฆษณาของ Money Heist จนคนพูดถึงกันทั้งประเทศ

หลายคนอาจคิดว่าความสำเร็จเหล่านี้มาจากโชคช่วยหรือเพราะคอนเทนต์มันดีอยู่แล้ว แต่เบื้องหลังภาพไวรัลที่เห็น คือกระบวนการคิด การวางแผน และการทำงานร่วมกันอย่างหนักหน่วงระหว่าง Netflix และเอเจนซี่คู่ใจอย่าง VML และ จงรักภักดี

นี่คือ 5 อาวุธลับ ที่ถูกเปิดเผยจากห้องประชุมของพวกเขาผ่านงาน Marketing Oops! Summit 2025 ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ทุกแคมเปญ "Made You Watch" จนคณต้องหยุดดู และพูดถึง

1. เริ่มต้นจากภาพสุดท้ายในใจ (Having the End in Mind)



ไวรัลไม่ใช่เรื่องของโชค

 นี่คือประโยคที่ทีมงานย้ำอยู่เสมอ ทุกแคมเปญที่ปล่อยออกมาไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการสเก็ตช์ภาพสุดท้ายไว้ตั้งแต่วันแรก ทีมจะคุยกันอย่างละเอียดว่า 

  • เมื่อแคมเปญนี้ออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? 
  • คนจะแชร์ด้วยแคปชั่นแบบไหน ? 
  • สื่อจะพาดหัวข่าวว่าอะไร? 
  • ภาพที่คนจะเห็น และจดจำคืออะไร ?

เหมือนกับแคมเปญ Squid Game 2 ที่นำตุ๊กตายองฮี (ที่คนไทยเรียกว่าโกโกวา) มาล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ภาพสุดท้ายที่ทีมอยากเห็นคือ โมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ที่ผสานความเป็นสากลของซีรีส์เข้ากับแลนด์มาร์กของไทยได้อย่างน่าจดจำ 

ทุกอย่างตั้งแต่การเลือกเวลาให้ตรงกับช่วง Sunset ที่วัดอรุณฯ ไปจนถึงการทำโดรนโปรยการ์ด ถูกวางแผนไว้ทั้งหมดเพื่อให้ได้ภาพจบที่สมบูรณ์แบบที่สุด

2. เสี่ยงอย่างฉลาด...และคำนวณมาแล้ว (Risk It Right)

Netflix ชอบทำอะไรที่เสี่ยงและกล้าหาญ แต่ทุกความเสี่ยงนั้นเป็น Calculated Risk หรือความเสี่ยงที่ผ่านการคิดวิเคราะห์และวางแผนมาอย่างรัดกุมที่สุด

กรณีศึกษาที่ชัดเจนที่สุดคือโปรเจกต์เรือ โกโกวา ที่สูงถึง 12 เมตร การนำเรือขนาดมหึมามาล่องในแม่น้ำเจ้าพระยาเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งกระแสน้ำ ระดับน้ำ สภาพอากาศ ไปจนถึงการขออนุญาตจากภาครัฐ

แต่ทีมงานไม่ได้ปล่อยให้เป็นเรื่องของดวง พวกเขาทำการบ้านอย่างหนัก มีการศึกษาตารางระดับน้ำล่วงหน้าเป็นเดือนๆ ออกแบบให้ตุ๊กตาสามารถนอนเพื่อลอดใต้สะพานพุทธที่ต่ำที่สุดได้  และประสานงานกับทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด การเตรียมตัวอย่างละเอียดนี้เองที่เปลี่ยนความเสี่ยงมหาศาลให้กลายเป็นความสำเร็จ

3. จับมือทำงานเป็นทีมเดียว (In It Together)

เบื้องหลังความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่คือ ความเชื่อใจ และความโปร่งใส ระหว่าง Netflix และเอเจนซี่ พวกเขาไม่ได้ทำงานในฐานะลูกค้ากับผู้รับจ้าง แต่เป็นพาร์ทเนอร์ที่ร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน

ตอนทำแคมเปญ Hunger ที่ถึงขั้นเปิดร้านอาหารจริงๆ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ซับซ้อนและเหนื่อยอย่างยิ่ง ทุกฝ่ายต้องจับมือกันแก้ปัญหา ตั้งแต่การพัฒนาซอสผัดงอแงร่วมกับแบรนด์โรซ่า ที่มีการคอมเมนต์รสชาติกันหน้างานว่ากลิ่นไหม้แบบสโมคยังไม่พ 

ไปจนถึงการบริหารจัดการร้านที่ต้องเก็บเงินลูกค้าจริงๆ ความเชื่อใจทำให้ทุกฝ่ายกล้าที่จะแชร์ปัญหาและช่วยกันหาทางออกจนโปรเจกต์สำเร็จลุล่วง

4. รู้ว่าอะไรที่ "ไม่ควรทำ" (Knowing What 'Not' to Do)


ใน War Room ของ Netflix จะเต็มไปด้วยไอเดียสร้างสรรค์มากมาย แต่หัวใจสำคัญคือการ เลือกและตัดทิ้ง การรู้ว่าอะไรที่ไม่ควรทำสำคัญพอๆ กับการรู้ว่าควรทำอะไร

ทีมจะเลือกทุ่มเททรัพยากรทั้งหมด ทั้งงบประมาณและกำลังคน ไปกับไอเดียที่เป็น ฮีโร่ ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียว และกล้าที่จะปฏิเสธไอเดียอื่นๆ ที่แม้จะดี แต่ไม่ตอบโจทย์หลัก

อย่างในซีรีส์ สาธุ มีการเสนอไอเดียให้จัดเวทีดีเบตระหว่างพระกับอินฟลูเอนเซอร์ในหัวข้อ 'ดูสาธุ...ได้บุญหรือบาป ? ซึ่งเป็นไอเดียที่น่าสนใจและสร้างบทสนทนาได้ดี 

แต่สุดท้ายก็ถูกตัดออกไป เพราะทีมงานมองว่ามันใกล้วัดเกินไป และอาจข้ามเส้นความอ่อนไหวทางศาสนา ซึ่งเป็นเส้นที่ทีมตั้งใจว่าจะไม่ข้าม การตัดสินใจนี้ทำให้แคมเปญมุ่งเน้นไปที่ประเด็น มารศาสนา และ พุทธพาณิชย์ ได้อย่างตรงจุดและปลอดภัย

5. ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้ (Never Stop Learning)

โลกของการตลาดหมุนเร็วเสมอ สิ่งที่เคยสำเร็จในวันนี้อาจใช้ไม่ได้ผลในวันพรุ่งนี้ Netflix และทีมงานจึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขามีการแชร์บทเรียน จากทุกแคมเปญ ทั้งที่ประสบความสำเร็จและแม้แต่ที่ล้มเหลว เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนางานต่อไป

เมื่อโปรเจกต์หนึ่งจบลง จะมีการนำองค์ความรู้มาแชร์ข้ามทีม เช่น ไอเดียการทำ Out-of-Home แบบไฮแจ็คป้ายจาก Money Heist ถูกนำมาต่อยอด หรือการทำดิจิทัลคอนเทนต์ที่ได้ผลดีก็จะถูกส่งต่อให้ทีมอื่นนำไปปรับใช้ การเรียนรู้แบบ Real-time และการไม่ยึดติดกับสูตรสำเร็จเดิมๆ ทำให้พวกเขาสามารถสร้างสรรค์แคมเปญที่สดใหม่และยกระดับมาตรฐานของตัวเองขึ้นไปได้เรื่อยๆ

ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังวิธีคิดที่ทำให้แคมเปญของ Netflix ไม่ได้เป็นแค่ ไวรัล ชั่วข้ามคืน แต่คือผลลัพธ์ของการวางกลยุทธ์ที่เฉียบคม ความกล้าหาญที่มาพร้อมกับการวางแผน และการทำงานเป็นทีมที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง

สรุป session Made You Watch: The Creative War Room Behind Netflix’s Most Viral Moments in Thailand ดูกันทั้งเมือง: เบื้องหลังแคมเปญไวรัลของ Netflix ที่ทุกคนพูดถึง By Ranus Srirungruangdeja Head of Marketing, Thailand, Netflix Thailand, Park Wannasiri Chief Creative Officer, VML, Patsa Attanon Managing Director, JONGLUCKDEE จากงาน AssetWise presents MarketingOopsSummit2025 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอดบทเรียน ซีคอน และ Swensen's ทำไมการ "Fail More" และความกล้าคิดต่าง ถึงเป็นหัวใจของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

แบรนด์จะไม่ต่าง ถ้าทีมไม่กล้า คุณจักรพล จันทวิมล จาก บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่เรารู้จักกันดีในชื่อของศูนย์การค้า Seacon Square และ คุณชนินทร์ นาคะรัตนากร จาก Swe...

Responsive image

AI เก่งขึ้นทุกวัน แล้ว "คุณค่าเฉพาะตัว" และ “ทางรอด” ของมนุษย์อยู่ที่ไหน? ถอดบทเรียนจาก ‘What Makes Us Valuable?’

สรุปประเด็นสำคัญจาก รวิศ หาญอุตสาหะ บนเวที CTC2025: ในยุคที่ AI เก่งขึ้น มนุษย์จะอยู่รอดได้อย่างไร? ค้นหาคำตอบผ่านมุมมอง 'กวาง vs สิงโต' และกุญแจสำคัญอย่าง 'Personal Value Proposit...

Responsive image

5 หนังสือ AI ที่ควรอ่าน อัปเดตโลกเอไอปี 2025

AI กำลังกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตและการทำงาน ใครที่ยังคิดว่า AI ยังเป็นเรื่องของอนาคต คงต้องคิดใหม่ เพราะตอนนี้ AI เข้ามามีผลกระทบในบางอุตสาหกรรมแล้วจริง ๆ เพื่อไม่ให้...