ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเชามามากกว่าสองปีจากสถานการณ์โควิด หลายธุรกิจจำเป็นต้องปิดตัว หรือผันไปทำธุรกิจอื่น เนื่องจากวิถีชีวิตของผู้คนได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประกอบกับมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน กลับมีธุรกิจอีกกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็วสวนกระแสและเป็นปรากฏการณ์ในโลกธุรกิจที่น่าจับตามอง
ชื่อของท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เริ่มเป็นที่กล่าวถึงในวงกว้าง พร้อม ๆ กับแบรนด์ “Bitkub” ที่มีทั้งธุรกิจแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และด้วยการที่ราคาคริปโทฯตัวหลักอย่าง บิตคอยน์ ที่เป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรบนแพลตฟอร์มของบิทคับ จนมีผู้ใช้งานเกินกว่าหนึ่งล้านคน และมีการเติบโตจากยอดธุรกรรมหลักร้อยล้านบาทต่อวัน* สู่ยอดธุรกรรมสูงสุดร่วมหนึ่งหมื่นล้านบาทต่อวัน (โดยประมาณ) รวมถึงเครือข่าย Blockchain Infrastructure เครือข่ายแรกของไทยอย่าง Bitkub Chain ที่ได้สร้างกระแสความสนใจลงทุนในเทคโนโลยีบล็อกเชน ตลอดจนบริษัทอื่น ๆ ในเครือ ที่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงานรวม 1,498 ตำแหน่ง หลังจากที่ก่อตั้งบริษัทได้เพียง 3 ปี
ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแม่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Bitkub จิรายุสได้พูดเสมอว่าเขาไม่ใช่คนเก่งที่สุด เพียงแต่เขาอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และกล้าทำธุรกิจที่คนอื่นไม่กล้าทำ แต่เป็นธุรกิจที่กำลังอยู่ในขาขึ้นระดับโลก และจากการที่เขาอยู่ในวงการนี้มาหลายปี ได้พบปะกูรูหลายคนทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เขาเชื่อว่า “เศรษฐกิจดิจิทัล” คืออีกหนทางรอดของประเทศไทย และความสามารถของเทคโนโลยีจะมาปลดล็อก “การเข้าถึงโอกาส” ให้กับคนตัวเล็กตัวน้อยได้เข้าถึงช่องทางการหารายได้ใหม่ ๆ รวมถึงเป็นโอกาสให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
ที่หน้าเพจเฟสบุ๊คของเขา ได้โพสต์วิดีโอความยาวกว่า 40 นาที ที่มีหัวข้อว่า “ข้อเสนอเพื่อประเทศไทยหลุดพ้นกับดักรายได้ปานกลาง” และมีข้อความระบุว่า
“สิ่งที่น่ากลัวกว่าโรคระบาดคือสภาวะเศรษฐกิจหลังจากนี้ วิกฤติโรคระบาดตลอดสองปีที่ผ่านมาได้ทำให้การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ หลายอย่างได้ขาดทุนและล้มหายตายจาก ในขณะที่มีอาชีพและธุรกิจเกิดใหม่บนแพลตฟอร์มออนไลน์และโลกเสมือนขึ้นมาแทน วิถีแห่งโลกอนาคตถูกเร่งเร้าให้มาหาเราเร็วกว่าที่คาดคิด และยากที่ใครจะหยุดยั้ง สำหรับประเทศไทยที่ยังยึดติดอยู่กับธุรกิจเดิม ๆ และติดกับดักรายได้ปานกลางก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงและหาโอกาสใหม่ ๆ จากคลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน ผมขอเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ส่งเสียงให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขอเสนอความคิดเห็นอีกทางหนึ่งที่จะใช้เศรษฐกิจดิจิทัลสร้างพิมพ์เขียวทางเลือกใหม่ให้กับประเทศไทยเพื่อหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางครับ”
หวังว่าอีกเสียงจากคนรุ่นใหม่จะสะท้อนดังไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้ตระหนักถึงความสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ที่จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนไทย และเป็นทางรอดให้กับประเทศในอนาคต หากได้รับการสนับสนุน ไม่มากก็น้อย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด