คงจะรู้สึกแปลกไม่น้อยถ้าเราต้องจ้องลูกกลมๆ สีเงินวาว (The Orb) เพื่อรับการสแกนม่านตาและเก็บข้อมูลความเป็นตัวตนของเรา (biometrics) เพื่อยืนยันว่าเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ AI โดยมีรางวัลตอบแทนเป็นเหรียญคริปโทฯ ที่ชื่อว่า Worldcoin เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนนับพันล้านทั่วโลกมาสแกนม่านตา โดยหวังว่าวันนึง Worldcoin ที่ได้รับจะ TO THE MOON และมีมูลค่านับล้านในอนาคต
ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจริยธรรมและความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมไปถึงผู้ที่กังวลเรื่องข้อมูลความเป็นส่วนตัว หลังจากที่ Sam Altman เคยทวีตโปรโมท Worldcoin ในปี 2021 และโปรเจกต์ก็เลื่อนการดำเนินการมาตลอดจนล่าสุดเมื่อต้นปี 2023 โปรเจกต์เหรียญสแกนม่านตานี้ก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
บทความนี้เราจะไปดูข้อมูลทั้งสองฝั่ง ว่าโปรเจกต์ Worldcoin นี้คืออะไร สร้างมาเพื่อแก้ไขปัญหาอะไร แล้วทำไมผู้คนอีกฝั่งถึงไม่เห็นด้วยกับความคิดที่จะสแกนม่านตาคนทั้งโลก และสร้าง Universal Basic Income ผ่านเหรียญฯ Worldcoin
Worldcoin บริษัทลูกของ Tools for Humanity ก่อตั้งโดย Alex Blania และมีผู้ร่วมก่อตั้งคือ Sam Altman ผู้สร้าง OpenAI ที่มี ChatGPT เป็นตัวชูโรงที่โด่งดังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ของคนทั้งโลก (World ID) ด้วยวิธีสแกนม่านตา
เพื่อรับมือกับผลกระทบจาก AI ที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการที่ AI เริ่มมีความเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกทีจนมนุษย์เริ่มแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นผลงานจากมนุษย์ เห็นได้จาก deepfake และ voice synthesis รวมไปถึงปัญหา Sybil Attack ซึ่งคือการสร้างตัวตนอวตารขึ้นมาเยอะๆ เพื่อเนียนเป็นมนุษย์มาทำธุรกรรมหรือกิจกรรมอื่นๆ (ในโลกคริปโทฯ คือการปั๊มกระเป๋าเพื่อสร้างเสียงข้างมากแบบปลอมๆ)
โดยมีสิ่งตอบแทนเป็นเหรียญคริปโทฯ จำนวน 25 Worldcoin เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนเข้ารับการสแกนม่านตาผ่านเครื่องมือที่ชื่อว่า The Orb โดยหวังว่าวันนึง Worldcoin จะมาเป็นมาตรฐานการเงินใหม่ของโลก ทั้งนี้ทุกคนจะได้รับ Worldcoin เท่าๆ กันหลังจากได้รับการยืนยันตัวตน จะเรียกว่าเป็น Universal Basic Income (UBI) ก็ได้ แต่ ณ ปัจจุบัน Worldcoin Token ที่มีแผนจะสร้างอยู่บน Blockchain ของ Ethereum ยังคงเลื่อนวันเปิดตัวเหรียญอยู่และยังไม่มีการแจกแจง Tokenomics ใดๆ (คาดว่าจะเปิดตัวไม่เกินกลางปี 2023)
Blania กล่าวว่า ลายนิ้วมือเปลี่ยนได้ หน้าตาก็มีความเป็นไปได้ที่จะยืนยันตัวตนซ้ำ ใบขับขี่ก็สามารถถูกดัดแปลง สูญหายหรือถูกขโมยได้ private key ก็เช่นกัน ดังนั้นมันอาจจะฟังดูแปลก ในช่วงแรกๆ ผมก็คิดว่าแปลกเช่นกัน แต่มันอาจจะเป็นทางออกเดียวของปัญหาการยืนยันตัวตน
โดย Worldcoin เคลมว่าข้อมูลม่านตาของบุคคลที่ได้รับการสแกน (IrisCode) จะอยู่ใน The Orb และมีความปลอดภัยสูงผ่านเทคโนโลยีต่างๆ อย่าง Zero-knowledge proofs และ proto-danksharding เป็นต้น
Worldcoin ได้รับการสนับสนุนผ่าน 2 องค์กร ซึ่งก็คือ Worldcoin Foundation ซึ่งเป็นบริษัทไม่แสวงหากำไร (non-profit organization) และ Tools for Humanity (TFH) ที่ดูแลเรื่องการสร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น Worldcoin และ World App
แต่ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ทำให้บริษัทได้รับการลงทุนจากหลาย Venture Capital ถึงแม้จะเป็นรายชื่อนักลงทุนจากปี 2021 ซึ่งเคยมี Sam Bankman-Fried Three Arrow (3AC) และ Digital Currency Group (DCG) ที่ล่มสลายไปหมดแล้ว แต่ ณ ปัจจุบันนักลงทุนหลักๆ อย่าง Andreessen Horowitz (a16z) และ 1Confirmation ก็ยังคงสนับสนุนอยู่
จากการที่มีเงินทุนหนุนหลัง และเจตนาที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกๆ กับการที่ต้องสแกนม่านตา ทำให้หลายบุคคลที่โด่งดังและมีความเชี่ยวชาญเรื่อง Privacy และ Cybersecurity ได้ออกมาให้ความเห็นกันมากมายในปี 2021 ในช่วงที่เปิดตัวใหม่ๆ และจนถึงทุกวันนี้ Sam Altman ก็ยังคงโปรโมท Worldcoin อยู่ และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม
“ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่ตั๋วที่จะใช้เจาะ[เพื่อยืนยันตัวตน]” - Edward Snowden ผู้เปิดโปงโครงการลับของรัฐบาลที่สอดส่องประชาชน
“มันไม่แฟร์ตั้งแต่มี CEO แล้ว เป็นแค่เหรียญขยะที่ให้พวกพ้อง Silicon Valley VC ทำเงินโดยใช้คนจนบังหน้า เพื่อพิมพ์เงินและแสร้งว่าเป็นพระเจ้าผู้มาโปรด” - Saifedean Ammous ผู้เขียนหนังสือ The Bitcoin Standard
“Sam Altman สร้างปัญหา [OpenAI] จากนั้นอีกตัวตนหนึ่งของเขาก็ขายวิธีแก้ไขหรือทางออกให้กับปัญหา [Worldcoin] ที่เขาสร้างขึ้น ” - Elizabeth Renieris นักวิจัยอาวุโสที่ Oxford’s Institute เรื่องจริยธรรมใน AI
พูดง่ายๆ ก็คือ การสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนผ่าน Wolrd App จากนั้นก็รับ Wolrd ID เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าคุณเป็นมนุษย์ท่ามกลางโลกของ AI จากนั้นก็รับค่าตอบแทนเป็น Worldcoin ที่เป็นสกุลเงินสำหรับคนทั้งโลก แจกจ่ายอย่างเท่าเทียมกันเป็น Universal Basic Income
Renieris ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “Worldcoin ตั้งตัวเป็นบริษัทไม่แสวงหากำไร จากนั้นก็สร้างโลกที่เต็มไปด้วย AI จาก Sam Altman และสร้างกำไรที่สูงกว่า”
ปี 2023 Sam Altman ยังคงโปรโมท Worldcoin ในเรื่องของ Proof Of Personhood ที่ใช้พิสูจน์ตัวตนของมนุษย์ในยุคของ AI โดยในบทความก็มีการอ้างถึง Artificial General Intelligence (AGI) และความสามารถของ AI ที่จะทำให้การแยกแยะระหว่างคนจริงและ AI ทำได้ยากขึ้น ดังนั้น World ID อาจจะเป็นทางออก
เสียงตอบรับส่วนใหญ่ไปในทางลบและยังคงไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้ มากไปกว่านั้น Worldcoin ยังมีปัญหาแฝงอยู่มากมายที่เป็นสิ่งที่อันตรายและต้องระวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลความเป็นส่วนตัว ที่อาจจะถูกรวมศูนย์และนำไปใช้ในทางที่ผิดได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่การสแกนม่านตาผู้คนทำได้ง่ายในประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาที่อาจจะไม่ได้มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลบุคคลอย่าง European Union’s General Data Protection Regulations (GDPR) หรือของไทย Personal Data Protection Act (PDPA) ครอบคลุมอยู่ ทำให้เราเห็นภาพไวรัลที่ชาวบ้านในประเทศอินโดนีเซียต่อคิวกันสแกนม่านตาเพื่อแลกกับเงิน
ในด้านของเศรษฐศาตร์ Worldcoin ตั้งใจจะเป็นมาตรฐานการเงินใหม่ของโลก โดยการแจกจ่ายให้ทุกคนที่ยินยอมถูกเก็บข้อมูลเป็นเหรียญโทเคนคริปโทฯ Worldcoin ที่ยังไม่ได้มีการแจกแจงรายละเอียด Tokenomics เพื่อนำไปสู่ Universal Basic Income ที่ Sam Altman คิดว่าอาจจะเป็นการกำจัดความเลื่อมล้ำได้ ซึ่งเป็นปัญหาระดับเศรษฐศาตร์ที่ยังคงมีข้อถกเถียงกันอย่างต่อเนื่องว่า UBI อาจจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด
Maybe… The Road to Hell Is Paved With Good Intentions
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด