แน่นอนว่าในเวลานี้ ธุรกิจต่าง ๆ กำลังถูก Disrupt กับการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล และเป็นประจำทุกปีที่เราจะได้เห็นการคาดการณ์ 'เทรนด์เทคโนโลยี' ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีถัดไป โดยในประเทศไทย บริษัทอย่าง G-ABLE ผู้ที่คว่ำหวอดในวงการเทคโนโลยีมาหลายสิบปี ได้ร่วมเปิดเผยให้ Techsauce ทราบถึง 5 เทรนด์เทคโนโลยีในปีหน้าที่กระทบต่อไทย พร้อมคำแนะนำสำหรับบริษัทต่างๆที่จะต้องเตรียมรับมือและปรับตัวในยุคของ Digital Transformation
โดยในการเปิดเผยถึงเทรนด์เทคโนโลยีครั้งนี้ ผู้บริหารของ G-ABLE ได้แก่ คุณสุเทพ อุ่นเมตตาจิต กรรมการผู้จัดการกลุ่มบริษัท G-ABLE และ คุณปาจรีย์ แสงคำ ประธานบริหารกลุ่มงานโซลูชันทางธุรกิจและบริการกลุ่มบริษัท G-ABLE เป็นผู้ให้สัมภาษณ์กลุ่มย่อยแบบเจาะลึก
ปัจจุบันเราเริ่มค้นหาด้วยเสียงกันมากขึ้น จะเห็นได้ว่าบริษัทเจ้าใหญ่ ๆ ด้านไอทีได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Voice Personal Assistant (VPA) เกือบหมดแล้ว เช่น Amazon เปิดตัว Alexa, Google เปิดตัว Google Assistant, Microsoft เปิดตัว Cortana หรือ Apple เปิดตัว Siri ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านวัตกรรมการ Search มีความก้าวหน้ามากขึ้น เป็นผลดีต่อผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม E-Commerce และ Home Automation ซึ่งการใช้คำสั่งเสียงที่น่าสนใจคือ กลุ่มผู้ใช้งานนั้นยังรวมถึงผู้สูงอายุ ที่ใช้งานมากกว่าการพิมพ์ โดย G-ABLE คาดการณ์ว่าเทคโนโลยี Voice & Visual Search จะเข้ามาแทนที่ยุคของ Mobile Application และในปี 2020 ก็คาดว่าในหนึ่งครอบครัวจะมี Voice Personal Assistant จำนวน 2 เครื่องในบ้าน
ส่วนเรื่องของการค้นหาด้วยภาพ เราอาจได้เห็นกันในตลาด E-Commerce ที่ให้เราสามารถนำภาพมาค้นหาสินค้า ทำให้สามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ใกล้เคียงกันได้
ปัญหาของ Voice Search เรื่องภาษาไทย
หนึ่งในอุปสรรคของ Voice Search คือเรื่องของการใช้ภาษาไทย ซึ่งคุณปาจรีย์ ได้ให้ความเห็นว่า ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีความยาก แต่คิดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการพัฒนาให้สมบูรณ์ เนื่องจากมีความต้องการด้านการใช้งานมาก หลายบริษัทจึงกำลังพัฒนาภาษาไทยให้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น รวมถึง G-ABLE ด้วย
มีงานวิจัยระบุว่า Chat Based Conversation หรือการสนทนาผ่านแชท จะช่วยให้ผู้ใช้บริการเปิดใจในการพูดถึงความรู้สึกต่อบริการของเราอย่างเปิดใจมากกว่าช่องทางอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อธุรกิจ จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ Conversational Platform ซึ่งเป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่ Machine ทำงานโต้ตอบกับมนุษย์ คนไทยจะรู้จักในชื่อ Chatbot แต่ Chatbot ยังมีข้อจำกัดในเรื่องในการโต้ตอบให้ได้อย่างแม่นยำ และ มีประสิทธิภาพ โดยปีหน้าคาดว่า Chatbot จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยจะมาในรูปแบบของ Voice Personal Assistant (VPA) ดังที่กล่าวไปแล้ว และ Virtual Customer Assistant (VCA) ที่จะเข้ามาช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ โดย VCA จะช่วยดำเนินการบางอย่างแทนผู้ให้บริการได้ทันที เช่น การนัดหมาย การจอง การเปลี่ยนโปรโมชัน เป็นต้น โดยจะสามารถช่วยลดต้นทุนด้าน Operating Cost ลงได้
จากกระแสของ Bitcoin ที่มาแรงในต่างประเทศ รวมถึงการนำ Blockchain เข้ามาใช้ในแวดวงการเงินและการธนาคารทั่วโลก โดยเฉพาะสินค้าและบริการใหม่ ๆ ที่มาจากกลุ่มธุรกิจที่เป็น Fintech ในต่างประเทศ ประกอบกับการคาดการณ์ของ Gartner ที่ระบุว่าในปี 2020 จะมี Blockchain Based Cryptocurrency ในธุรกิจธนาคารจะมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญ ทำให้เราเริ่มเห็นว่ามีการโอนและแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ผ่านทาง E-Wallet มากขึ้น สิ่งที่ต้องคิดต่อคือ แล้วเงินในโลกจริงจะหายไปหรือไม่? หลายประเทศตื่นตัวกับเรื่องนี้ เช่นประเทศญี่ปุ่น ที่ได้ประกาศผูกเงินเยนกับ Bitcoin แล้ว ในไทย ดังนั้นหน่วยงานกำกับดูแลหรือ Regulator ด้านการเงินและการธนาคารของแต่ละประเทศต้องปรับบทบาทการทำงานเพื่อรับกับ Cryptocurrency ที่มีเข้ามาใหม่อยู่เรื่อย ๆ
Gartner นิยามคำว่า “Counterfeit Reality” หรือ “ความเสมือนจริง” ว่าคือการสร้างเนื้อหาและเรื่องราวแบบสมจริงขึ้นมา โดยการคัดลอกมาจากเหตุการณ์จริง สถานที่จริง และสิ่งมีชีวิตจริง ซึ่งทำให้เห็นว่า Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Digital Twins จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือนำเอาประสบการณ์ในอดีตมาทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่าง คือ การเอา AI มาสร้าง Counterfeit Reality ที่เป็นข้อมูลเท็จ แล้วเผยแพร่ลงสู่โลกออนไลน์ ทำให้การตรวจสอบข้อมูลเหล่านี้อาจมีความยากขึ้น ทั้งนี้เราอาจจะได้เห็น Veracity Algorithm ที่ใช้ในการหาข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ (Truth Information) ซึ่งอาจจะสามารถตรวจจับข้อมูลบน Counterfeit Reality ได้ โดยแบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง YouTube, Google, Facebook ต่างพัฒนาเครื่องมือการตรวจจับข้อมูลที่เป็นเท็จให้ได้แม่นยำยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อแบรนด์ได้ในอนาคต
5. Internet of Things (IoT)
จากการเกิดขึ้นของ Voice Personal Assistant (VPA) และ Home Automation ที่เอามาผสานงานกันในปัจจุบันจนเกิดเป็นระบบต่าง ๆ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้าน ระบบการเข้า-ออกบ้าน เป็นต้น คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า IoT ในประเทศไทยจะเติบโตได้อีกมาก ซึ่งเราคาดการณ์ว่า 95% ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ จะฝังเอาเทคโนโลยี IoT เข้าไว้ภายในอุปกรณ์เหล่านั้นด้วย ส่วนอุปสรรคของ IoT ในประเทศไทย คงเป็นเรื่องของ IoT Network ในปัจจุบันที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมีค่าบริการที่สูง ทำให้ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดเนื่องจากการลงทุนด้านเครือข่าย ไม่คุ้มค่าในการลงทุน
จาก 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้อุตสาหกรรมไหนถูก Disrupt หรือได้รับผลกระทบบ้าง แล้วองค์กรจะปรับตัวอย่างไร?
G-ABLE ได้ร่วมให้คำตอบถึงการปรับตัวขององค์กรต่างๆ ที่มองว่า ‘ทำคนเดียวไม่ได้’ แต่สิ่งสำคัญคือการหาพาร์ทเนอร์เข้ามาไปช่วยทำในเรื่องต่างๆ โดยคุณสุเทพได้ชี้ให้เห็น 2 สิ่งสำคัญที่ต้องคิดไว้เสมอ คือ Speed และ Impact ถ้าองค์กรสามารถทำสองสิ่งนี้ได้สูง ก็จะสามารถอยู่รอดได้ในยุค Digital Transformation โดยสำหรับ G-ABLE ได้กำหนดบทบาทง่ายๆ 3 แบบ ในการทำงานกับองค์กรที่ G-ABLE ได้เข้าไปช่วย
นอกจากนี้ G-ABLE ยังเน้นย้ำถึงความโดดเด่นที่แตกต่างจากผู้อื่นคือ
G-ABLE คือบริษัทผู้พัฒนา, ติดตั้งจนถึงให้บริการด้านระบบ IT และ Digital ในไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำระดับโลกในด้าน modern digital solutions, enterprise business solutions และ IT infrastructure solutions โดยมีกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำในภาคเอกชนและรัฐบาล
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด