เมื่อปี 2007 เป็นครั้งแรกที่โลกได้รู้จักกับสมาร์ทโฟนแบบใหม่ เมื่อ Apple ได้เปิดตัว iPhone ออกมา และด้วยความแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัส อย่างระบบ Touch Screen ที่ลื่นไหล และสามารถเข้าใช้งานแอปฯ ต่าง ๆ เพียงใช้ปลายนิ้วจิ้ม ทำให้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา iPhone ได้กลายเป็นการปฏิวัติใหม่ของวงการสมาร์ทโฟน และได้รับความสนใจเป็นอย่างมากมาโดยตลอด แต่จากรายงานของ Gartner พบว่ายอดขายของสมาร์ทโฟนลดลงไปเยอะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มจับตามองว่าต่อไปบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Google, Facebook, Microsoft, และ Amazon จะทำอย่างไรต่อไป จะสร้างอะไรออกมาแข่งขันกันในตลาดของเทคโนโลยีต่อไปอีก โดยทาง CNBC กล่าวว่า สิ่งต่อไปที่ทางบริษัทยักษ์กำลังลงสนามแข่งกันอยู่ตอนนี้คือ Augmented Reality หรือ AR เทคโนโลยีที่จะมาผสานเอาโลกเสมือนจริงกับโลกแห่งความเป็นจริงเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยจะแตกต่างจาก Virtual Reality หรือ VR ที่ทั้งโลกจะเป็นแค่โลกเสมือนจริง
อย่างที่เราเคยเห็นในแอปพลิเคชันอย่าง Pokemon Go และ Ruler App ของ Apple ที่ผสมระหว่างโลกของความเป็นจริงกับโลกในแอปฯ เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานได้พบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ แบบเดียวตัวของเทคโนโลยี AR แต่เทคโนโลยีตัวนี้จะไม่ได้ออกมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน แต่ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของแว่นตา หรืออุปกรณ์ที่ใช้สวมบนศีรษะ (Headsets)
จากรายงานของ The Information และ Bloomberg กล่าวว่า ตอนนี้ทาง Apple กำลังทดลองตัวต้นแบบของเทคโนโลยี AR และเตรียมจะปล่อยออกมาในช่วงต้นปี 2022 ที่ราคาประมาณ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 9 หมื่นบาท แต่ก็ไม่ได้มีแค่ Apple เท่านั้นที่กำลังลงเล่นในสนามของ AR ทั้ง Microsoft, Google, Facebook, และ Amazon ก็เข้าร่วมในเกมการแข่งขันนี้เช่นกัน
ในบทความนี้จึงได้รวบรวมเอาเทคโนโลยี AR ของแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ว่าจะทำออกมาในรูปแบบไหน และจะมีอะไรโดดเด่นบ้าง
ทาง Bloomberg รายงานว่า Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยี AR อยู่และคาดว่าจะออกมาวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2022 แต่ยังไม่มีการยืนยันจากทางบริษัทว่าจะออกมาในรูปแบบของแว่นตา หรืออุปกรณ์สวมบนศีรษะ แต่อย่างไรก็ตามการที่ Apple ออกมาเคลื่อนไหวกับเทคโนโลยีตัวนี้เท่ากับว่า AR จะเป็นอีกหนึ่งที่จะได้รับความนิยม และน่าติดตามต่อไป
โดยเทคโนโลยี AR ที่ Apple วางแผนจะสร้างนั้นทาง Bloomberg คาดว่าจะเป็นอุปกรณ์สวมศีรษะที่ใช้แบตเตอรีให้พลังงาน โดยอุปกรณ์ตัวนี้สร้างมาสำหรับ VR ในตอนแรกและพัฒนาเพิ่มกล้องเข้าไปทำให้สามารถใช้งานแบบ AR ได้ด้วย
แต่จากประสบการณ์การทำเทคโนโลยีด้าน VR ของ Apple ทำให้พบกับปัญหาด้านเทคนิคหลาย ๆ อย่างทั้ง เทคโนโลยีการย่อส่วน (Miniaturization) และเรื่องของเลนส์ ซึ่งตอนนี้ทาง Apple ได้ร่วมมือกับ TSMC ผู้ผลิตและพัฒนาชิปรายใหญ่ในการพัฒนา AR ให้มีประสิทธิภาพด้านการแสดงผลมากยิ่งขึ้น
โดยเมื่อปี 2017 Apple ได้เปิดตัว ARKit เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับวัดระยะของสิ่งของหรือผนัง ซึ่งมีทาง IKEA, Target, และ Amazon ได้นำเอาเทคโนโลยีตัวนี้ไปใช้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้สำหรับทดลองนำเอาภาพเสมือนของเฟอร์นิเจอร์ไปวางในที่ต่าง ๆ เพื่อดูความเหมาะสมในการจัดตกแต่ง นอกจากนี้ก็มีบริษัทอื่นนำไปใช้เช่นกัน แต่ตัว ARKit กลับไม่ได้รับความนิยมในวงกว้างเท่าที่ควร
นอกจากนี้ทาง Apple ยังมีการใส่ฮาร์ดแวร์บางอย่างลงไปใน iPhone เพื่อที่จะปูทางไปสู่เทคโนโลยี AR ในอนาคต โดยจะเป็นเซ็นเซอร์ LiDAR ในกล้องของ iPhone ทำให้สามารถใช้งานวัดระยะของวัตถุต่าง ๆ และสร้างฟิลเตอร์หรือเอฟเฟกต์ในรูปได้ โดยทาง Apple ได้วางแผนที่จะเพิ่มเซ็นเซอร์ LiDAR นี้ลงไปในอุปกรณ์ AR ด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งสิ่งที่จะสามารถรู้ได้แน่ชัดว่า Apple กำลังวางแผนทำเทคโนโลยี AR อยู่นั้นคือตอนนี้ทางบริษัทได้ร่วมงานทำบริษัทอื่น ๆ ที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ Headset และผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับ AR และ VR ทั้ง Akonia Holographics, Vrvana, Metaio, Emotient, Flyby Media, Spaces, และ NextVR
Google ถือเป็นบริษัทแรก ๆ ที่หันมาเล่นในวงการเทคโนโลยี AR เลยก็ว่าได้ หลังจากเปิดตัว Google Glass ในปี 2013 ด้วยราคา 1,500 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 45,000 บาท ซึ่งทาง Google ตั้งกลุ่มเป้าหมายของสินค้าตัวนี้เป็นกลุ่มคนในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และกลุ่มคนที่ต้องการจะทดลองสิ่งใหม่ ๆ (Early Adopters) ซึ่ง Google Glass นี้ไม่ได้มีซอฟต์แวร์ในการทำงานถึงขั้นเป็น AR ที่มีกราฟิกมากมาย แต่หลัก ๆ จะมีกล้องและมีจอแสดงข้อมูลเล็กอยู่ที่มุมขวาของแว่น ถ้ากล่าวง่าย ๆ คืออุปกรณ์ตัวนี้คล้ายกับหน้าจอ Apple Watch หรือสมาร์ทวอชนั่นเอง
แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่มีกล้องอยู่ด้านหน้าทำให้เกิดเป็นข้อวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยของหลาย ๆ คนว่าอาจจะถูกแอบถ่ายอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ต่อมาทาง Google จึงได้หยุดการขายอุปกรณ์ตัวนี้ในปี 2015 และกลับมาปรับปรุงใหม่ และเมื่อปีที่ผ่านมา Google Glass ก็กลับออกมาสู่ตลาดอีกครั้งในราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐหรือราว 3 หมื่นบาท
ตัวอย่างบริษัทที่นำเอา Google Glass ไปใช้ประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดคือ Augmedix บริษัทด้านการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีตัวนี้ในการเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาของแพทย์ในการตรวจดูประวัติ
ทาง Microsoft ก็ได้เปิดตัวอุปกรณ์ AR ไปแล้วเช่นกันเมื่อปี 2016 โดยใช้ชื่อว่า Hololens และตอนนี้ได้พัฒนามาเป็นเวอร์ชันที่ 2 แล้ว โดย Hololens นี้มีราคาอยู่ที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 105,000 บาท และตั้งกลุ่มเป้าหมายไว้เป็นอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมขายส่ง และอุตสาหกรรมทางการแพทย์
โดยอุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยแนะนำผู้ใช้งานในการซ่อมแซมหรือใช้งานเครื่องจักร และสำหรับธุรกิจขายส่ง อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยแสดงสินค้าและบริการแบบเสมือนจริงให้กับลูกค้า โดยที่ทางร้านค้าไม่จำเป็นจะต้องเสียเงินมากมายกับการแสดงสินค้าหน้าร้าน
นอกจากนี้ทาง Microsoft ได้ลงทุนกับเทคโนโลยีตัวนี้ไปเยอะมาก ทั้งจ่ายให้กับ AltspaceVR ที่เป็นโซเชียลเน็ตเวิร์คด้าน VR และต้องจ่ายกว่า 150 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นค่าทรัพย์สินทางปัญญาของตัว Hololens อีกด้วย
Facebook ที่ตอนนี้ทั้งโลกก็กำลังจับตามองอยู่เหมือนกันหลังจากที่ CEO อย่าง Mark Zuckerberg ออกมากล่าวว่าจะผลิตแว่น AR ออกมาให้คนได้ใช้กันอย่างแน่นอนเร็ว ๆ นี้ โดยจุดเริ่มต้นของ Facebook ในการสร้างเทคโนโลยี AR นี้มาจากการที่ปัญหากับทาง Apple เกี่ยวกับการใช้งานของ Facebook บน iPhone และการเพิ่มซอฟต์แวร์ใหม่ที่จะมาตัดโฆษณาต่าง ๆ ของ Facebook บนแพลตฟอร์ม
ซึ่งตอนนี้ทาง Facebook ยังเป็นผู้นำในการด้านของเทคโนโลยี VR หลังจากเข้าซื้อ Oculus ในปี 2014 และจากผลงานการขาย Oculus ได้มากกว่า 1 ล้านชิ้น ทำให้เห็นเป็นทางเดินที่ชัดเจนขึ้นว่า Facebook จะเข้ามาร่วมเดินทางบนถนนของเทคโนโลยี AR แน่นอน
เนื่องจากตัว Oculus มีกล้องที่มีคุณภาพในการทำงาน ดังนั้นการนำมาปรับให้เป็นระบบแบบเดียวกับ AR จึงทำได้ง่าย นอกจากนี้ Facebook ยังได้ร่วมงานกับทาง Luxottica ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตแว่นในการปรับปรุง Oculus ให้มีน้ำหนักเบาขึ้น และหวังว่าจะเปิดตัวออกมาในปีนี้
และนอกจากนี้ Facebook ก็กำลังวางแผนใน Project Aria จะผลิตแว่นตาที่มีระบบคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ได้ทำงานแบบระบบ AR โดยแว่นตาดังกล่าวจะสามารถบันทึกวิดีโอ เสียง และติดตามการเดินทางของผู้ใช้งาน
Amazon ถือเป็นบริษัทที่จริงจังน้อยที่สุดกับการสร้างเทคโนโลยี AR ขึ้นมา โดยทาง Amazon ได้ผลิตแว่นตาที่มีชื่อว่า Echo Frames แต่แว่นตาอันนี้กลับไม่ได้ทำงานแสดงผลผ่านภาพต่าง ๆ หลัก ๆ แล้วจะทำงานร่วมกับ Alexa ที่เป็นระบบผู้ช่วยเสมือนมากกว่า
ซึ่งทาง Amazon เป็นบริษัทเดียวที่มองเรื่อง AR ในอีกมุมมองหนึ่ง จากการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Amazon Augmented Reality ให้คนเข้าไปใช้งานผ่านการสแกน QR Code และเข้าไปเล่นเกมเช่น การเปลี่ยนกล่องสินค้า Amazon เป็นฟิลเตอร์และเอฟเฟกต์ต่าง ๆ โดยทาง Amazon กล่าวว่า “AR คือการ Reuse กล่องสินค้าของ Amazon ในแบบที่สนุกกว่าเดิม”
นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันอีกตัวที่ทาง Amazon ให้ลูกค้าได้ใช้งานในการทดลองเอาภาพเสมือนของเฟอร์นิเจอร์ หรือสินค้าอื่น ๆ เช่น นาฬิกาข้อมือ เครื่องสำอาง และเครื่องใช้ในครัวเรือน ไปทดลองวางในบ้าน และสวมใส่แบบเสมือนจริงก่อนจะทำการซื้อสินค้าจริง
วัตถุประสงค์อีกอย่างในการผลิตอุปกรณ์ AR ออกมาคือต้องการให้พนักงานในโกดังกว่าพันแห่งของ Amazon ได้รัความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้นในการค้นหาสินค้า และตรวจสอบสินค้าในโกดังขนาดใหญ่ด้วยการแสดงภาพกราฟิกผ่านแว่น AR นั่นเอง
อ้างอิง: CNBC
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด