ในโลกของการลงทุนนั้นมีปิรามิดของการลงทุน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่การลงทุนจากเม็ดเงินของตัวเอง (bootstrapping) ไล่ไปเป็นการระดมทุนจากสาธารณชน (crowd-funding) ต่อด้วยการลงทุนของเหล่านักลงทุนแบบ angel ไปถึง Venture Capitalists (VC) ก่อนที่ยอดบนสุดของปิรามิดจะเป็น Corporate Venture Capitalists (CVC) นั่นเอง มีผู้ประกอบการมากมายที่แม้จะไม่ได้เงินลงทุนแต่ก็หวังเพียงแค่จะได้คำแนะนำจาก CVC ซึ่งโดยปกติการเข้าถึงองค์กรเหล่านี้ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นในงาน Techsauce Global Summit 2017 ที่ผ่านมาก็ได้เปิดโอกาสให้เหล่าผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อย (SME) จากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับฟังและพูดคุยกับเหล่า CVC ในหัวข้อซึ่งมี Zack Piester, co-founder ของ blockchain VC Intrepid Ventures เป็นผู้ดำเนินรายการ และผู้ร่วมแสดงทัศนะยังประกอบไปด้วย
เหล่าตัวแทนจาก CVC ทุกท่านมารวมตัวบนเวทีเดียวกันเพื่อให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมา รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ผ่านการเรียนรู้ที่สั่งสมมา รวมถึงเล่าถึงหลักการในการลงทุนของพวกเขา โดยทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยเหล่าผู้ประกอบการ SME และบรรดานักลงทุนที่กระตือรือร้นที่จะได้ฟังมุมมองจาก CVC เหล่านี้
คำถามที่น่าสนใจคำถามหนึ่งจากผู้ดำเนินรายการอย่าง Zach Piester คือ “CVC นั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งหรือเป็นศิลปะกันแน่?” ตัวแทนจาก CVC หลายท่านเห็นตรงกันว่างานของพวกเขานั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เหตุผลคือ ในมุมของศิลปะแล้วกล่าวได้ว่าไม่มีสูตรตายตัวใดที่จะสามารถใช้ในการวัดหรือประเมินความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทีมหรือวัฒนธรรมองค์กรของแต่ละทีมที่พวกเขาจะตัดสินใจลงทุนได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นศาสตร์ด้วยองค์ประกอบอย่างเช่นวิธีการที่จะประเมินแนวโน้มของความสามารถในการขยายขนาดของธุรกิจของโมเดลธุรกิจต่างๆ ในโลกความเป็นจริงก็เข้ามามีบทบาทเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วอีกปัจจัยสำคัญก็คือธุรกิจหรือผู้ประกอบการรายนั้นๆ เหมาะสมกับ CVC แห่งนั้น ๆ หรือประเทศนั้น ๆ หรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าตลาดจะมีความแตกต่างกันไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เป้าหมายของแต่ละธุรกิจก็ย่อมเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป อะไรที่สามารถขายได้ใช้งานได้ในช่วงระยะเริ่มต้น ก็อาจจะไม่เป็นไปเช่นเดิมเมื่อเวลาผ่านเลยไป หรือบางทีบางสิ่งที่ใช้ได้ผลในอินโดนีเซียอาจจะไม่ได้ผลแบบเดียวกันในประเทศไทยเพราะแต่ละประเทศมีความต้องการที่ต่างกัน มีโครงสร้างและกลุ่มของผู้บริโภคที่ต่างกัน ดังนั้นมันจึงเป็นการลองผิดลองถูกเพื่อที่จะชำนาญทั้งศาสตร์และศิลป์ในการที่จะสร้าง startup รายใหม่ที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาสักราย
นอกจากตัวแทนจาก CVC หลายท่านยังเห็นตรงกันว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในโครงสร้างของ CVC ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นสิ่งที่แต่ละแห่งกำลังลงมือทำคือการสร้างทีมสำหรับนวัตกรรม มีทีมการสร้างนวัตกรรมภายใน และการพัฒนาวิธีการทำงานของ CVC เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะก้าวล้ำนำหน้านวัตกรรมต่างๆ ได้
หลายๆ startup ต่างก็นำไอเดียของตัวเองมาระดมทุนกับสาธารณชน (crowdfunding) บ้างกับ accelerators บ้าง หรือกระทั่งด้วยเงินลงทุนของตัวเอง ซึ่งมักจะมากับแนวคิดที่จะ disrupt อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเหล่าธุรกิจที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการผูกขาดทางธุรกิจ เป็นธุรกิจที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในภาคธุรกิจเช่น ธนาคาร การคมนาคม และอสังหาริมทรัพย์ แต่ Uber, Grab, Airbnb, และ Food Panda ต่างก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ หรือ CVC ต่างก็ไม่ได้ปลอดภัยจากการถูก disrupt เลยแม้แต่น้อย คุณพอลเองได้เล่าถึงประสบการของเขาอย่างกระตือรือร้นในการทำงานกับธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อร่วมมือและปลุกปั้น FinTech startup ต่าง ๆ ว่า “พวกคุณ (เหล่า startup) ไม่ disrupt เราก็ทำให้บริการของเราดียิ่งขึ้น ดังนั้นคนที่ทำงานในภาคธุรกิจการเงินการธนาคารจะไม่ทำลายเทคโนโลยีเพื่อให้บริการของพวกเขาดูเป็นนวัตกรรมขึ้นมา” คุณพอลยังอธิบายต่อไปอีกด้วยว่าโครงสร้างของบริษัทเองยังอาจจะทำให้ CVC กลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจที่สุดของตัวเองก็เป็นได้ ด้วยเหตุนั้นคำแนะนำของเขาสำหรับเหล่า CVC คือให้ลงทุนในบรรดา startup ที่สามารถช่วยให้บริษัทของพวกเขาดีขึ้น แล้วเพิ่มไอเดียของนวัตกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมลงไป รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ startup เหล่านั้นไม่เคยมีมาก่อน
หนึ่งในผู้ร่วมพูดคุยกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องที่ใหม่และน่าตื่นเต้น ทุกคนต่างก็พูดถึง blockchain เป็นคำฮิตติดกระแส แต่คนเหล่านั้นจะรู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร” สำหรับเหล่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับ blockchain คำอธิบายง่าย ๆ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นเหมือนระบบฐานข้อมูลออนไลน์คล้ายกับลักษณะของการบันทึกบัญชีที่ถูกดูแลโดยกลุ่มคนทั้งหมดในฐานข้อมูลนั้น ทุกคนต่างรับรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในฐานข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเสียด้วยซ้ำ ซึ่งข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจที่ถูกกล่าวถึงโดยคุณพอลคือการลงทุนครั้งแรกของ SCB ในฐานะ VC นั้นเป็นการลงทุนใน blockchain นี่เอง เนื่องจากเป็นการมองถึงความเป็นไปได้ของ startup ในสายนี้ในระยะยาวที่อาจจะเลือกกลยุทธ์ที่ซึ่งธนาคารโดยปกติแล้วไม่มีข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ (เช่น การป้องกันการฟอกเงิน การค้าเงิน เป็นต้น) ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่ซ้ำคัญมากเมื่อย้อนกลับไปยังคำพูดของเขาว่า “ช่วยทำให้เราดีขึ้นหรือ disrupt เรา?” และเขาเลือก startup นี้เพราะมันช่วยทำให้ธุรกิจของธนาคารดียิ่งขึ้นนั่นเอง
เนื่องจากการลงทุนนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์จึงมี CVC น้อยมากที่มีสถิติการเลือกลงทุนที่สมบูรณ์แบบกับเหล่า startup ที่ประสบความสำเร็จทั้งหมด แต่ดูเหมือนว่า Yamaha Ventures ซึ่งดำเนินการมาแล้วถึง 2 ปีจะเป็นข้อยกเว้นเมื่อคุณ Hiro Saijou ได้เล่าว่า Yamaha Ventures นั้นยังไม่เคยตัดสินใจผิดพลาดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่คุณ Tim Casio (จาก Samsung NEXT) กล่าวต่อว่า “การที่จะตัดสินใจว่าเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลวนั้นขึ้นอยู่กับว่านิยามของคำว่าประสบความสำเร็จคืออะไร เพราะฉะนั้นการติดสินใจที่แย่จึงต้องขึ้นกับการให้ความหมายของคำว่าความสำเร็จ ซึ่งการตัดสินใจที่แย่อาจจะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ได้เป็นธุรกิจที่ส่งเสริมหรือดีกับธุรกิจของเราก็เป็นได้” ซึ่งผู้ร่วมวงสนทนาท่านอื่น ๆ ในครั้งนี้ก็เผยว่าเกือบ 1 ใน 4 ของสิ่งที่พวกเขาเลือกนั้นผิดพลาด ศิลปะใช้ไม่ได้ผลหรือไม่ก็ทีมนั้นไม่สามารถทำงานได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดการณ์ในช่วงแรก ๆ ของ startup
ในขณะที่เหลือเพียง 30 วินาทีสุดท้ายในการพูดคุย เหล่าตัวแทนของ CVC ต่างก็แสดงทัศนะไปในทางเดียวกันถึงแนวทางที่เหล่า CVC จะก้าวนำหน้าในการแข่งขันที่กำลังดำเนิน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด