
Figma บริษัทซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบที่ครองใจผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 13 ล้านคน ได้เปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) อย่างเป็นทางการแล้ว และสร้างปรากฏการณ์ราคาหุ้นพุ่งทะยานกว่า 250% ในวันแรกของการซื้อขาย
จากการตั้งราคา IPO ที่ 33 ดอลลาร์ต่อหุ้น ราคาหุ้นของ Figma (FIG) ทะยานสู่ราคาปิดที่ 115.50 ดอลลาร์ ส่งผลให้มูลค่าบริษัท (Market Cap) พุ่งสู่ระดับเกือบ 68,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ความสำเร็จครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอกย้ำการเติบโตของ Figma ที่มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Google, Microsoft และ Netflix อยู่ในมือ แต่ยังเกิดขึ้นหลังจากดีลเข้าซื้อกิจการมูลค่า 20,000 ล้านดอลลาร์โดย Adobe ล่มสลายไปเมื่อปี 2023 และยังเป็นสัญญาณสำคัญว่าตลาด IPO ของกลุ่มเทคโนโลยีได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
เบื้องหลังตัวเลขทางการเงินที่น่าทึ่งนี้คืออะไร? อะไรคือปรัชญาที่ขับเคลื่อน Dylan Field, ซีอีโอวัย 33 ปี, และ Figma จากสตาร์ทอัพในหอพักสู่บริษัทที่สะเทือนวงการเทคโนโลยี? จากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเขากับ Y Combinator, Techsauce จะพาไปเจาะลึกในทุกมิติ ตั้งแต่จุดกำเนิด, ศาสตร์แห่งการสร้างผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมต่ออนาคต
Figma ไม่ได้เกิดจากไอเดียที่สมบูรณ์แบบ แต่เกิดจากคำถามสำคัญที่ Dylan และ Evan Wallace (ผู้ร่วมก่อตั้งและ CTO) ถามตัวเองที่มหาวิทยาลัยบราวน์ว่า "อะไรคือคลื่นลูกใหม่ที่จะเปลี่ยนโลก?" คำตอบในตอนนั้นมี 2 อย่างคือ โดรน และ WebGL
หลังจาก Evan ไม่เห็นด้วยกับไอเดียโดรน พวกเขาก็มุ่งสู่ WebGL และดำดิ่งสู่การสำรวจไอเดียมากมายอย่างบ้าคลั่ง Dylan เล่าว่าช่วงเวลานั้นคือ "นรกของการ Pivot" ที่แท้จริง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาเชื่อว่า "มีม (Memes)" จะครองโลก และได้ชวน Evan สร้างโปรแกรมสร้างมีม
"เราสร้างโปรแกรมสร้างมีมที่โคตรเจ๋งขึ้นมาเลยครับ ผมว่ามันคงเป็นตัวที่ดีที่สุดในตลาดแน่นอน... แต่หลังจากทำไปได้สัปดาห์เดียว ผมก็ถามตัวเองว่า 'นี่เราลาออกจากบราวน์มาเพื่อทำสิ่งนี้เหรอ?' นั่นอาจจะเป็นจุดที่ตกต่ำที่สุดในช่วงเริ่มต้นเลย"
สิ่งที่ทำให้พวกเขาผ่านช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนมาได้ ไม่ใช่แค่ความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี แต่คือ "คน" และ "เวลา" Dylan ยกย่อง Evan ว่าเป็น "ฮีโร่และอัจฉริยะตัวจริง" และมองว่าการได้ทำงานกับคนเก่งคือหลักประกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด ประกอบกับการได้รับทุน Thiel Fellowship ที่ไม่ได้ให้แค่เงิน แต่ให้ "เวลา" ในการลองผิดลองถูก ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น
แม้ Figma จะใช้เวลานานกว่าจะเปิดตัวสู่สาธารณะ แต่ Dylan กลับให้คำแนะนำที่สวนทางกับสิ่งที่เขาทำว่า "เอาผลิตภัณฑ์ของคุณออกไปให้เร็วกว่านี้ และเก็บเงินให้เร็วกว่านี้ เพื่อดูว่าคุณสามารถทำเงินได้จริงหรือไม่"
เบื้องหลังที่ดูเหมือนล่าช้า Figma ไม่ได้สร้างผลิตภัณฑ์อยู่ในสุญญากาศ พวกเขาใช้วิธี Cold-emailing ติดต่อดีไซเนอร์ที่พวกเขาชื่นชม และออก "ทัวร์" พบปะบริษัทต่างๆ ในพอร์ตของนักลงทุน เพื่อเดโมผลิตภัณฑ์และเก็บฟีดแบ็กอย่างต่อเนื่อง ในช่วงฤดูร้อนหนึ่ง เขาพบกับบริษัทสัปดาห์ละ 5-7 แห่ง แต่มีเพียง 2 แห่งที่ยอมใช้งานจริงคือ Notion และ Coda
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเข้าใจความแตกต่างระหว่าง "Product-Market Fit" กับ "Product-Market Pull" (แรงดึงจากตลาด) ซึ่ง Dylan มองว่าสำคัญกว่า
"เมื่อมีคนยอมสละเวลาเขียนเอกสาร 12 หน้าเพื่อบอกว่าเขาต้องการอะไรจากผลิตภัณฑ์ของคุณ แม้ว่าโปรดักต์จะยังแย่อยู่ นั่นคือสัญญาณของ 'แรงดึง' ที่ทรงพลัง คนส่วนใหญ่มักตีความผิดว่า 'โอ้โห เรายังขาดฟีเจอร์อีกเยอะ' แต่ความคิดที่ถูกต้องคือ 'พระเจ้า! เขาแคร์มากพอที่จะให้ฟีดแบ็กกับเรา นี่มันสุดยอดมาก'"
เรื่องราวที่ยืนยันแนวคิดนี้ได้ดีที่สุดคือตอนที่ Microsoft ติดต่อมาแล้วบอกว่า "Figma กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่งในบริษัทเรา เรากำลังคิดว่าจะแบนมันดีไหม เพราะพวกคุณไม่ยอมเก็บเงินเราเลย บางทีพวกคุณควรจะเริ่มเก็บเงินได้แล้วนะ" นั่นคือวินาทีที่ Dylan รู้ว่า "มีบางอย่างที่เวิร์คจริงๆ"
Dylan เปรียบเทียบสถานะของ AI ในปัจจุบันว่าเป็นเหมือน "ยุค MS-DOS" ที่เรายังคงมีปฏิสัมพันธ์ผ่าน "แชทบอท" เป็นหลัก และเชื่อว่าเรายังอยู่ห่างไกลจากศักยภาพที่แท้จริงของมัน
ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะมาแทนที่ดีไซเนอร์ เขากลับมองว่านี่คือช่วงเวลาที่ "ดีไซน์" จะทวีความสำคัญขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"ถ้าคุณเชื่อจริงๆ ว่าการพัฒนาซอฟต์แวร์จะง่ายขึ้นและเร็วขึ้น แล้วอะไรคือตัวสร้างความแตกต่างของคุณล่ะ? มันคือดีไซน์, คือฝีมือ, คือความใส่ใจในรายละเอียด, คือมุมมอง"
เขามองว่า AI จะทำให้การเขียนโค้ดกลายเป็นเรื่องทั่วไป แต่ "รสนิยม" (Taste) และ "ฝีมือ" (Craft) จะกลายเป็นสิ่งที่หายากและมีค่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ชุดใหม่ เช่น Make, Buzz, และ Sites ล้วนมาจากปรัชญานี้ คือการสร้างเครื่องมือที่ช่วยลดงานซ้ำซาก และปลดปล่อยให้ดีไซเนอร์ได้โฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม
หัวใจสำคัญในวิสัยทัศน์ของ Dylan คือการผลักดันให้คนในสายงานสร้างสรรค์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ เขาเชื่อว่าทักษะการแก้ปัญหา ความเข้าใจผู้ใช้ และการคิดเชิงระบบของดีไซเนอร์ คือคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งของการเป็น "ผู้ก่อตั้ง" (Founder)
"เราต้องการคนที่เป็นดีไซเนอร์ก้าวเข้ามาในบทบาทผู้ก่อตั้งและเริ่มต้นสร้างบริษัท"
เขามองว่าบทบาทของดีไซเนอร์ในอนาคตจะคล้ายกับ "นักเขียนมืออาชีพ" ในบริษัท คือแม้ทุกคนจะสามารถใช้โปรแกรมประมวลผลคำได้ แต่บริษัทยังคงต้องการผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดในการเรียบเรียงและสื่อสาร เช่นเดียวกัน ในอนาคตทุกคนอาจมีส่วนร่วมในกระบวนการดีไซน์ แต่บริษัทยังต้องการดีไซเนอร์มืออาชีพมาเป็น "ผู้คัดสรร" (Curator) และผู้นำทางความคิด
เขายังได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจว่า ดีไซเนอร์ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างแบบประเมินผล (Evals) ของโมเดล AI เพราะพวกเขามีความเข้าใจผู้ใช้งานปลายทางดีกว่านักวิจัยหรือวิศวกร
แม้จะเข้าตลาดหุ้นด้วยมูลค่ามหาศาล แต่ Dylan Field ย้ำเตือนทีมงานและตัวเขาเองในวันเปิดตัวว่า "ราคาหุ้นเป็นเพียงภาพ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการโฟกัสกับภารกิจ, รับฟังลูกค้า และยึดมั่นในเป้าหมายต่อไป"
การเดินทางของ Figma คือบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า พลังของดีไซน์, การรับฟังผู้ใช้อย่างไม่ลดละ, การมีทีมที่แข็งแกร่ง และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน คือส่วนผสมสำคัญที่สามารถสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
รับชม Session: Scaling Figma and the Future of Design
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด