ธุรกิจอาจพัง ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับระบบงานการเงินและบัญชี | Techsauce

ธุรกิจอาจพัง ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับระบบงานการเงินและบัญชี

ระบบการเงินและบัญชีเป็นส่วนงานสำคัญที่เสมือนเส้นเลือดใหญ่ของการทำธุรกิจ การจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ นอกจากจะช่วยให้ธุรกิจมีรากฐานทางการเงินที่แข็งแรงแล้ว ยังเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตและแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันนี้ Techsauce จึงขอพาทุกท่านโดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ไปถอดบทเรียนจากเวที Virtual Talk  “Financial e-Tools: How Does It help? Learn From Direct User Experience ประสบการณ์ตรงจากผู้ใช้ที่ได้มากกว่าการลดภาระ” ที่รวมเหล่าตัวแทนจากภาคธุรกิจซึ่งมีประสบการณ์ตรงในการนำเครื่องมือ e-Office และ e-Tool มาช่วยยกระดับงานบัญชีและการเงิน และหน่วยงานรัฐผู้ผลักดันการใช้งานธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่

  • คุณเจษฎา ธนสิทธิพันธ์ CFO, Wongnai
  • คุณไผท ผดุงถิ่น CEO of Builk One Group
  • คุณขนิษฐ์ ผาทอง  ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรม ETDA

ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดเห็น พร้อมแชร์ประสบการณ์ตรงกัน ในงาน Virtual Series EP.2 “The New Way of Finance: On Point, On Time, and Online งานบัญชีออนไลน์ ทางเลือกใหม่ ของ SMEs” โดยความร่วมมือระหว่าง ETDA และ Techsauce เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา ภายใต้โครงการ e-Solution Opportunity Enabler for SMEs  เพื่อ Transform ธุรกิจ SMEs ให้พร้อมกับการทำงานยุคใหม่

ความสำคัญของเทคโนโลยี สู่การยกระดับ “งานด้านการเงิน- บัญชี”

คุณเจษฎาเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความสำคัญของเทคโนโลยีระบบการเงินการบัญชีในปัจจุบัน ซึ่งทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคต่างหันมาใช้เทคโนโลยีกับระบบการเงินและบัญชีกันมากขึ้น ทั้งในด้านการอุปโภคบริโภคและการทำงาน

สำหรับคุณไผท กล่าวในฐานะตัวแทนของธุรกิจ SMEs ที่ทำธุรกิจในรูปแบบ B2B (Business to Business) ว่าการใช้เทคโนโลยีระบบบัญชีนั้นจำเป็นต่อธุรกิจแบบ B2B มาก แม้จะไม่ได้มีการทำธุรกรรมจำนวนมากเหมือนธุรกิจ B2C อย่าง Wongnai  (Business to Customer) ซึ่งนอกจากจะช่วยเรื่องการทำธุรกรรมแล้ว การมีข้อมูลการเงินยังเป็นตัวชี้วัดและจุดเปลี่ยนสำคัญในการทำธุรกิจ ในด้านของการปรับแผนกลยุทธ์ เมื่อต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงหรือสภาวะวิกฤตที่เข้ามา 

คุณไผทเอง ยกตัวอย่างจากธุรกิจของ Builk One Group ที่นอกจากจะทำธุรกิจด้วยการขายซอฟต์แวร์ให้กับผู้ประกอบการแล้ว ยังมีส่วนที่ขายวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นการขายบนช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งมีการปรับตัวค่อนข้างเยอะ แต่การเอาเทคโนโลยีมาใช้ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในปัจจุบัน และไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับระบบบัญชีเท่านั้น ยังรวมถึงการทำเอกสารอิเล็กทรอนิกส์, ระบบบริหารงานบุคคล ฯลฯ 

สำหรับคุณขนิษฐ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรม ETDA ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายหลักขององค์กรที่ต้องการผลักดันให้มีการทำเอกสารและการทำธุรกรรมในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในภาครัฐและเอกชน 

จากการทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐจำนวนมาก คุณขนิษฐ์มองว่า ภาครัฐเองก็ได้มีการปรับตัวอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น กรมบัญชีกลาง ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ทำธุรกรรม  ซึ่งทำให้หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ จำเป็นต้องปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ตาม นอกจากนั้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 หน่วยงานราชการหลายแห่งพยายามจะปรับตัวเรื่องการทำเอกสาร ให้เป็น paperless มากที่สุด และใช้วิธีส่งเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอีเมล ซึ่งคุณขนิษฐ์กล่าวเสริมว่าสิ่งนี้เป็นถือเรื่องใหม่ของหน่วยงานราชการ นอกจากนั้นยังมีการออกใบเสร็จรับเงินในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะตอบโจทย์หลายๆ ส่วนของภาคธุรกิจ เช่นเดียวกัน 

ประสบการณ์จริงจากองค์กรที่เปลี่ยนไปใช้ระบบบัญชีออนไลน์ 

จากประสบการณ์ตรงของทั้งคุณเจษฎาและคุณไผท การเปลี่ยนรูปแบบการทำบัญชี หรือการทำธุรกรรมเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถลดทั้งขั้นตอนการทำงานและลดต้นทุนได้ 

โดยคุณเจษฎาเล่าว่า Wongnai เองมีการเปลี่ยนไปใช้ระบบบัญชีแบบออนไลน์ ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิดอยู่แล้ว ซึ่งทำให้ยังสามารถทำงานได้อย่างลื่นไหลแม้จะต้อง Work from home นอกจากนั้นคุณเจษฎายังเล่าถึงประสบการณ์ของบริษัทในการเปลี่ยนมาใช้ระบบออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก 

“ลองจินตนาการว่าก่อนหน้านี้ทุกๆ เดือนเราต้องออกใบกำกับภาษีกี่ใบ เพราะเรามีลูกค้าเยอะมาก เราก็ต้องมีทีมงานมาจัดการเอกสารตรงนี้ สิ่งที่เราทำช่วงปีที่ผ่านมาคือ ลงทุนกับระบบ e-Payment ที่สามารถเชื่อมต่อและออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ส่งให้ลูกค้าทางอีเมลได้เลย มันช่วยลดขั้นตอนที่เราต้องไปพิมพ์เอกสาร ส่งไปรษณีย์ และป้องกันกรณีเอกสารชำรุดหรือสูญหายด้วย” คุณเจษฎากล่าว 

ในฝั่งของคุณไผทได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจาก Builk One Group ในการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีระบบบัญชี โดยคุณไผทกล่าวว่าทางบริษัทได้ทำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) ขึ้นมา ให้ตอบโจทย์รูปแบบการทำธุรกิจของตัวเอง ซึ่งสามารถลดทั้งขั้นตอน และภาระการทำเอกสาร การออกและส่งใบกำกับภาษี และช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ตรวจสอบบัญชีได้ โดยในไตรมาสที่ผ่านมาผู้ตรวจสอบบัญชีไม่ได้เข้ามาที่บริษัทเลย แต่ใช้วิธีการทำงานผ่านระบบคลาวด์แทน

นอกจากนั้นคุณไผทยังเล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว ที่ได้ไปช่วย transform ธุรกิจใน แวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงโควิด ทำให้ผู้ประกอบการพยายามที่จะหาโซลูชั่น หรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ได้มากที่สุด เพราะงานก่อสร้างเป็นงานที่ต้องประสานกับหลายภาคส่วน  ซึ่งสิ่งที่คุณไผทมองว่าสำคัญที่สุด คือผู้ประกอบการต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งห่วงโซ่ของภาคธุรกิจ จึงจะผลักดันให้เกิดการใช้ระบบบัญชีออนไลน์แบบเต็มรูปแบบได้ 

“วันนี้เราพยายามจะเปลี่ยนให้กลายเป็นอิเล็กทรอนิกส์  ไม่ว่าจะเป็นการเสนอราคา การประสานงาน ในวงการอุตสาหกรรมเองก็มีการผลักดันกันเองด้วย เพราะถ้าธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเปลี่ยนแค่คนเดียว แต่คนในส่วน Supply chain นั้นไม่เปลี่ยนตาม มันก็เกิดอุปสรรค เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันผลักดัน”

การลงทุนกับระบบบัญชี จะให้อะไรได้มากกว่าแค่การลดภาระ 

เมื่อถามถึงความคุ้มค่ากับการลงทุนเปลี่ยนระบบการเงินการบัญชีเป็นรูปแบบออนไลน์นั้น ในฝั่งของคุณเจษฎาให้ความเห็นว่า ผู้ประกอบการบางส่วนอาจจะมองว่าการลงทุนกับระบบบัญชี ไม่ได้ส่งผลทางตรงให้ธุรกิจเติบโตขึ้น หรือมียอดขายมากขึ้น แต่จากประสบการณ์ตรงและมุมมองของตน มองว่าระบบบัญชีเป็นแกนหลักของการทำธุรกิจ และเป็นการลงทุนที่ส่งผลในระยะยาว

สำหรับคุณไผท มองว่าการบริหารธุรกิจสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องมีคือ ข้อมูลที่วัดผลได้  เพราะฉะนั้นข้อมูลทางการเงินจึงสำคัญ และยังกล่าวต่อถึงประสบการณ์ส่วนตัวของตน กับการละเลยความสำคัญของระบบบัญชี ซึ่งตนมองว่าผู้ประกอบการควรจะมีข้อมูลระบบการเงินและบัญชีขององค์กร

“ผมเคยเป็นผู้ประกอบการที่เป็นมวยวัดมากๆ เลย ขอแค่ทำงานไปวันๆ โดยที่ไม่มีข้อมูล ปิดงบก็มีข้อมูลผิด ส่งสำนักงานบัญชี และคิดว่าไม่ต้องจริงจังมากก็ได้ อันนั้นคือความผิดพลาดในฐานะธุรกิจ SMEs ทำให้เราวางแผนได้ยากมาก เรามีแต่ฝันอยู่ในอากาศ ไม่มีข้อมูลมาอ้างอิง พอเวลาจะไปขอกู้ธนาคาร หรือทำอะไรต่อเนื่อง มันยากไปหมด”

นอกจากนั้นคุณไผทยังยกตัวอย่างจากธุรกิจหนึ่งของ BUILK Group ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มสำหรับการทำบัญชีนั้นทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ใช่แค่การทำธุรกรรมทั่วไป หรือการจัดการภาษีเท่านั้น แต่สามารถบริหารจัดการเรื่องที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น คำนวณค่าใช้จ่าย, ต้นทุนในการก่อสร้าง ซึ่งส่งผลสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ  ทำให้คุณไผทมองว่าการลงทุนกับระบบบัญชีและการเงินนั้น เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทั้งนี้ผู้ประกอบการควรเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับขนาดและรูปแบบหรือความต้องการของธุรกิจตนเองด้วย 

ความไม่มั่นใจ กับดักสำคัญของการพัฒนาระบบบัญชี 

คุณขนิษฐ์ ผาทอง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมจาก ETDA มองว่าเหตุผลสำคัญที่ทำให้ภาคธุรกิจหรือผู้ประกอบการไม่เปลี่ยนมาใช้ระบบบัญชี หรือการเงินออนไลน์ เพราะเกิดความไม่เชื่อมั่นในระบบ ด้วยระบบบัญชีและการเงินเป็นเรื่องสำคัญ ต้องมีความถูกต้อง แม่นยำ และตรวจสอบได้ ทำให้ผู้ประกอบการเกิดความไม่มั่นใจกับการใช้เทคโนโลยี กังวลว่าจะทำให้ข้อมูลไม่ถูกต้อง, ไม่ถูกกฎหมาย หรือไม่ได้มาตรฐาน  ซึ่งทาง ETDA เองที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการ และเข้าไปวางมาตรฐานรูปแบบการใช้งาน เช่น มาตรฐานของใบกำกับภาษี มาตรฐานความปลอดภัยของการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ มาตรฐานการพิสูจน์และการยืนยันตัวตน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในการใช้งานมากขึ้น และทำให้การใช้งานใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ขยายไปในวงกว้างมากขึ้น 

ในมุมมองของภาคธุรกิจ คุณเจษฎามองว่าการสร้างความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ โดยยกตัวอย่างจาก Lineman Wongnai เอง ที่แม้จะเป็นธุรกิจ Startup และใช้เทคโนโลยีในการทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่เมื่อจะเปลี่ยนมาใช้ระบบบัญชีแบบออนไลน์ หรือใช้ใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์  ส่วนตัวก็เกิดความกังวลเช่นเดียวกัน เพราะไม่รู้ว่าตัวระบบพร้อมใช้งานแค่ไหน เช่นเดียวกับเรื่องการทำระบบบัญชี จากเดิมที่ต้องทำงานในคอมพิวเตอร์ของออฟฟิศ แต่พอต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบออนไลน์ ในช่วงแรกก็ยังไม่มั่นใจและไม่เข้าใจการทำงานของระบบ ซึ่งคุณเจษฎามองว่าในมุมผู้ประกอบการรายย่อย หรือ SMEs โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีมาก ความไม่เข้าใจตรงนี้ ก็อาจจะเป็นอุปสรรคหรือทำให้เกิดความกังวล จนในที่สุดก็ไม่เลือกที่จะนำมาใช้งาน

ผู้ประกอบการควรนำเทคโนโลยีระบบบัญชีเข้ามาใช้เมื่อไหร่ 

คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการในการเริ่มต้นใช้ระบบบัญชีออนไลน์ คุณเจษฎามองว่าไม่ใช่เรื่องที่มีกฎตายตัวว่าจะต้องใช้ตั้งแต่ตอนเริ่มธุรกิจทันที ขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้ประกอบการเอง รวมถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของแต่ละคน  แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้ตัวเองว่าเราควรจะเริ่มใช้เมื่อไหร่ 

“ผมมองว่ามันไม่ได้มีกฎตายตัวนะ จริงๆ ว่าเราควรจะต้องทำตอนไหน มันขึ้นอยู่กับความพร้อมของเราเอง ความพร้อมของตลาด ความพร้อมของลูกค้าเรา ของคู่ค้าเรา วันนี้เรายังเล็กอยู่ อาจจะอยากลงทุนในด้านอื่นก่อน แต่ถึงจุดหนึ่งที่บริษัทเติบโตมาก มันอาจจะใช้ระบบเดิมๆไม่ได้แล้ว” 

โดยคุณเจษฎายกตัวอย่างจากบริษัท Wongnai เอง เมื่อจำนวนลูกค้าเริ่มเยอะมากขึ้น ทำให้ตระหนักได้ว่าไม่สามารถใช้วิธีและระบบแบบเดิมๆ ในการทำงานได้อีกต่อไป  

ในฝั่งของคุณไผท มองว่าปัจจุบันมีผู้ให้บริการแพลตฟอร์มมากมาย ซึ่งหากผู้ประกอบการยังไม่พร้อมจะทำด้วยตัวเอง ก็ควรไปหาพาร์ทเนอร์ที่เป็น Service provider เข้ามาช่วย ซึ่งจะเป็นแต้มต่อให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าหาแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น และหากวันหนึ่งที่ธุรกิจเติบโตจนพร้อมลงทุน ก็สามารถพัฒนาระบบบัญชีด้วยตัวเองได้ โดยส่วนตัวคุณไผทย้ำว่า การมีข้อมูลที่เชื่อถือได้จะทำให้การพัฒนาง่ายขึ้น 

ผู้อ่านสามารถรับชมเนื้อหาฉบับเต็มได้ที่ https://www.facebook.com/techsauceTH/videos/599538291052110




ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ใครคือ SIAM AI CLOUD ? บริษัทเทคไทยที่ NVIDIA เลือก ด้วยอายุจดทะเบียนเพียง 10 เดือนกับ 19 วัน

บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องหลังความสำเร็จของ SIAM AI CLOUD ทำไมไทยที่ก่อตั้งมาไม่ถึงปีถึงสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการเทคโนโลยีจนดึงตัวแม่ทัพใหญ่ของ NVIDIA มาไทยได้ !...

Responsive image

10 ไฮไลท์นวัตกรรมเทคโนโลยีสุขภาพไต้หวัน ก้าวล้ำนำอนาคตในงาน Taiwan Expo 2024

10 นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ไฮไลท์จาก Taiwan Healthcare Pavilion ที่จะมาปฏิวัติวงการแพทย์ในทุกมิติ จากงาน Taiwan Expo 2024...

Responsive image

ส่องเส้นทางเทคฯ KBTG จากยุคปรับตัว สู่ผู้นำ Agentic AI กับยุทธศาสตร์ Human-First x AI-First พลิกโฉมธุรกิจ

เจาะลึกกลยุทธ์ KBTG กับการนำไทยเข้าสู่ยุค Agentic AI 2025 ผ่าน Human-AI Integration เพื่ออนาคตที่ล้ำลึกและยั่งยืน...