
'การศึกษานี้เป็นเรื่องหลอกลวงหรือเปล่า?' คือคำถามสุดท้าทายจากลูกชายของ David Krane, CEO ของ GV (Google Ventures) ซึ่งสะท้อนเสียงของคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่เริ่มไม่แน่ใจในคุณค่าของปริญญามหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมอีกต่อไป
David Krane ซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานยุคบุกเบิกของ Google ได้แบ่งปันเรื่องราวนี้ในงานประชุม Brainstorm Tech โดยเล่าว่าลูกชายคนโตของเขา ซึ่งกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปศาสตร์ชั้นนำของสหรัฐฯ ได้ใช้เวลาตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาคลุกคลีอยู่กับการทำงานด้าน AI ทั้งการใช้แบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) และผู้ช่วยเขียนโค้ด ประสบการณ์ตรงนี้เองที่ทำให้เขาและกลุ่มเพื่อนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ เริ่มขบคิดถึงความตึงเครียดระหว่างโลกแห่งการศึกษาในตำรากับโลกแห่งทักษะที่นำไปใช้ได้จริง
คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของคนรุ่นใหม่เหล่านี้คือ การศึกษา 4 ปีนี้คุ้มค่าหรือไม่? เราอยากจะเป็นหนี้เพิ่มเพื่อใบปริญญาจริงหรือ? ในเมื่อวันนี้เราสามารถลงมือสร้างอะไรบางอย่างได้เลย และมีนักลงทุนที่พร้อมจะให้ทุนสนับสนุน มุมมองนี้ได้จุดประกายการถกเถียงครั้งใหญ่ถึงอนาคตของแรงงานและระบบการศึกษา
แนวคิดของลูกชาย Krane สอดคล้องกับเทรนด์การจ้างงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ฝ่ายจัดหางานและบริษัทชั้นนำจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามคล้ายกัน และหันมาให้ความสำคัญกับแนวคิด 'Skills-First Hiring' หรือการจ้างงานที่เน้นทักษะความสามารถเป็นหลัก
ผลสำรวจ Workforce Confidence ล่าสุดจาก LinkedIn ยืนยันเทรนด์ดังกล่าว โดยพบว่ามีพนักงานระดับปฏิบัติการในสหรัฐฯ เพียง 41% เท่านั้นที่เชื่อว่าปริญญายังจำเป็นต่อความสำเร็จในอาชีพ ที่น่าสนใจคือ แนวทางการจ้างงานแบบ Skills-First นี้มีศักยภาพมหาศาลในการปลดล็อกขุมกำลังคน โดย LinkedIn ระบุว่ามันสามารถขยายกลุ่มผู้มีความสามารถ (Talent Pool) ในสหรัฐฯ ได้โดยเฉลี่ยถึง 16 เท่า และสำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อโดยเฉพาะ ตัวเลขนี้พุ่งสูงขึ้นถึง 24 เท่าเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ดาบสองคมของ AI ก็คือ ขณะที่มันสร้างโอกาสให้คนที่มีทักษะเฉพาะทาง มันก็กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบัณฑิตจบใหม่ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์เช่นกัน ทำให้โอกาสในการหางานลดลง และการแข่งขันเพื่อให้ได้สัมภาษณ์งานนั้นยากขึ้นกว่าเดิม
David Hsu, CEO และผู้ก่อตั้ง Retool กล่าวเสริมมุมมองนี้ว่า
"จากข้อมูลที่เราช่วยบริษัทกว่า 10,000 แห่งอย่าง Boeing, Adobe และ Pfizer ใช้ AI สร้างซอฟต์แวร์ เราพบว่าพนักงานที่ใช้ AI ได้สำเร็จที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์หรือคนจบวุฒิด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่กลับเป็นคนในสายงานอื่น เช่น ฝ่ายขาย, ฝ่ายปฏิบัติการ, และฝ่ายการเงิน ที่เรียนรู้การใช้เครื่องมือ AI สมัยใหม่เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน"
แม้กระแสทักษะมาก่อนจะมาแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาหลายคนกลับมองว่า ในยุค AI นี้เองที่การศึกษายิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น
"ใครๆ ก็สั่ง AI ให้สร้างโค้ดได้ แต่การจะรู้ว่าโค้ดนั้นมีประสิทธิภาพ, ปลอดภัย และมีจริยธรรมหรือไม่ ต้องอาศัยวิจารณญาณของมนุษย์" Dana Stephenson, CEO ของ Riipen แพลตฟอร์มเชื่อมโยงนักศึกษากับการทำงานจริงกล่าวว่าหากนักศึกษาใช้ AI สร้างแอปฯ โดยขาดความรู้ด้านสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, การดีบัก หรือการใช้ข้อมูลอย่างรับผิดชอบ พวกเขาก็อาจสร้างสิ่งที่เปราะบางและเป็นอันตรายได้
ในทิศทางเดียวกัน Anant Agarwal, ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการของ 2U และศาสตราจารย์จาก MIT ย้ำว่าการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งและสร้างความเชี่ยวชาญที่แท้จริงนั้นสำคัญกว่าที่เคย เพราะทักษะด้าน AI ที่ตลาดต้องการ มักเป็นการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในศาสตร์แขนงอื่นๆ ปริญญาจึงไม่ใช่แค่ใบเบิกทาง แต่เป็น 'การรับประกันอนาคต' ที่จะช่วยเตรียมความพร้อมให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
Agarwal เสริมว่า สำหรับงานที่ซับซ้อนอย่างการพัฒนา LLMs หรือสร้างแอปพลิเคชัน AI ที่ทำงานได้เอง (Agentic AI) ความรู้พื้นฐานที่เข้มข้นทางคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์จากรั้วมหาวิทยาลัยยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เข้าใจการทำงานของระบบได้อย่างแท้จริง
บทสรุปของการถกเถียงนี้อาจไม่ได้อยู่ที่ว่าฝ่ายใดถูกหรือผิด แต่อยู่ที่การยอมรับว่ามุมมองของการศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว Agarwal กล่าวว่าปริญญาหลักสูตร 4 ปีกำลังวิวัฒนาการ และ อนาคตของการเรียนรู้คือการผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดจากสองโลกเข้าด้วยกัน ผู้คนจะสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและเป็นส่วนตัวมากขึ้นโดยนำปริญญาบัตรมาผนวกรวมกับใบรับรองทักษะเฉพาะทาง และหลักสูตรออนไลน์ต่างๆ
ปริญญายังคงมีความสำคัญในฐานะรากฐานทางความคิดและการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่วิธีการที่จะได้มาซึ่งความรู้และทักษะกำลังจะปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบย่อยๆ (Modular) และเชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงานโดยตรงมากยิ่งขึ้น
ที่มา: Fortune
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด