ธนาคารกสิกรไทย (KBank) หนึ่งใน Legacy Bank ของประเทศไทยที่ทำ Digital Transformation อย่างต่อเนื่องมานานหลายปี ก่อเกิดเป็นความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกองค์กร (Internal & External) ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ วัฒนธรรม ทีมงาน และรูปแบบธุรกิจใหม่ ที่ตอบรับโลกการเงินยุคใหม่อย่างแท้จริง
(จากซ้าย) ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่, คุณพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ และคุณวศิน วณิชย์วรนันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
สอดรับกับปี 2025 ที่ภาครัฐในต่างประเทศ เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายผลักดันและสนับสนับสนุนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ส่งผลให้อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลคึกคักไปทั่วโลก และจังหวะนี้เองที่กลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทย ประกาศเปิดตัว ออร์บิกซ์กรุ๊ป (Orbix Group) กลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัลในเครือ บริษัท ออร์บิกซ์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ภายในงานฟินเทคระดับโลก MONEY20/20 Asia
ทีมผู้บริหาร 5 ธุรกิจใต้ Orbix Group
Orbix Group ประกอบไปด้วย 5 บริษัทย่อย โดย ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ให้ข้อมูลในงาน MONEY20/20 Asia ณ Orbix Group Booth เกี่ยวกับไลน์ธุรกิจทั้ง 5 ใต้หมวก Orbix Group ดังนี้
แต่ละบริษัทใน Orbix Group จึงมีบทบาทชัดเจน ทั้งยังสนับสนุนซึ่งกันและกันในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย กล่าวคือ Orbix Group มีทั้งบริการด้านกระดานเทรดสินทรัพย์ บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal) บริการพัฒนาเทคโนโลยีหลังบ้าน บริการจัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลและบริการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล
“ในส่วนของวิสัยทัศน์ Orbix Group อยากที่จะเชื่อมโยงกับโลกบล็อกเชน เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลบนบล็อกเชนสามารถถ่ายโอนกันได้ เงินที่อยู่ในโลกบล็อกเชนยังสามารถเชื่อมโยงกันข้ามพรมแดนได้ และส่งผลให้รูปแบบการทำธุรกรรมเปลี่ยนไป”
ด ดร.กรินทร์ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย โดยเปรียบเทียบสินค้าเป็นหมูปิ้งว่า “สมมติว่าเราซื้อหมูปิ้ง แล้วจ่ายเงินด้วย QR Payment จะเห็นว่า ‘ของ’ กับ ‘เงิน’ อยู่คนละที่ แต่ถ้าซื้อขายบนบล็อกเชน ของและเงินจะอยู่ที่เดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายสินทรัพย์ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
“สมมุติพี่โอน Ethereum ให้ผม แล้วผมโอน USDT จ่ายกลับไป แต่ตามกฎหมายในประเทศไทยถือว่าเป็น ‘การแลกของ’ จึงเสีย VAT ทั้งสองขา หมายความว่า ไม่มีขาใดขาหนึ่งที่ถือเป็นขาชำระเงินจริงๆ เลยทำให้การใช้บล็อกเชนหรือสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ยังไม่เกิด Mass Adoption ภาคธุรกิจก็ยังไม่สามารถเอาไปใช้ได้
“กสิกรไทยมาทําระบบนิเวศนี้จนบริษัทลูกในกลุ่มมี License ให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลรอบด้านที่สุด ถามว่าเพราะอะไร คําตอบคือ เราเชื่อครับว่า จริงๆ แล้วเดี๋ยวมันจะมาประเทศไทย เพราะไทยมี พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่ปี 2018 เรียกว่า เป็นประเทศแรกๆ เลยทีเดียวที่ Regulator กระโดดเข้ามา ทำเกิดให้ความสนใจและเข้ามากำกับดูแล”
ดร.กรินทร์ อธิบายเพิ่มว่า อีกจุดเปลี่ยนสำคัญที่มีผลต่อไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก นั่นคือ Regulator ต่างประเทศ จากการที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ล่าสุดเปลี่ยนประธาน ก.ล.ต. ซึ่งคนใหม่ให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ขณะเดียวกันสํานักงาน ก.ล.ต.ไทย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ให้ความสนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลนี้มากขึ้นจึงเปิด Sandbox ให้ธุรกิจธนาคารและที่ไม่ใช่ธนาคาร (Bank & Non-bank) เข้ามาพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน ต่อด้วยการให้ข้อมูลย้อนหลังและข้อมูลอัปเดต ดังนี้
“ล่าสุด หลังจาก พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลเปิดให้มีไลเซนส์ Custodian ซึ่งในอดีตยากมากที่จะได้ไลเซนส์นี้ Orbix Custodian (ออร์บิกซ์ คัสโทเดียน) ได้เป็นผู้ให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัลรายแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.” ดร.กรินทร์กล่าว
หากจำกันได้ Kubix ซึ่งตอนนี้มาอยู่ภายใต้ Orbix Group เคยทำโครงการ Destiny Token ให้กับบริษัทร่วมทุนระหว่าง GDH และ Broadcast Thai Television ในการระดมทุนผ่านโทเคนดิจิทัลเพื่อสร้างภาพยนตร์ที่เกิดจากผลงานหนังสือ บุพเพสันนิวาส 2 ซึ่งเป็นรูปแบบการระดมทุนสมัยใหม่ที่เรียกความสนใจจากคนไทยได้ไม่น้อย และการระดมทุนในครั้งแรกนั้นก็ทำให้นักลงทุนสามารถ ‘เป็นผู้ร่วมสร้างภาพยนตร์’ ร่วมกันได้
สำหรับปีนี้ ดร.กรินทร์เปิดเผยว่า มีลูกค้าหลายรายของ Kubix ที่อยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมความพร้อมในการออกโทเคนดิจิทัลในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นบนแพลตฟอร์ม Kubix โดยรวมถึงโทเคนที่อิงกับโครงการเกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ และโทเคนการลงทุนทางเลือก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นนวัตกรรมเหล่านี้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 และ 3 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ‘โทเคนคาร์บอนเครดิต’ ยังคงเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ Kubix ให้ความสำคัญ โดยบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาแนวทางการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ และร่วมหารือกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขข้อจำกัดของอุตสาหกรรม และสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรมในตลาดไทย ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050
ดร.กรินทร์ขยายในมุม Value Preposition ว่า Orbix trade ได้คัดเลือกเหรียญที่มีคุณสมบัติเป็นไปตาม Listing Rules ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต.ให้เข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์ม Orbix Trade และมีกระบวนการ Delisting ตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด
จากนั้น ดร.กรินทร์ยกตัวอย่างความร่วมมือสองโปรเจกต์ใหญ่ที่เกิดขึ้นภายใต้บริษัทในเครือ Orbix Group และพันธมิตร ซึ่งสะท้อนทั้งความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านสินทรัพย์ดิจิทัล การเปิดโอกาสและมองหาตลาดใหม่ โดยคำนึงถึงการใช้งานอย่างถูกต้องปลอดภัยและเชื่อถือได้ ได้แก่
ท่ามกลางความไม่แน่นอนรอบด้าน ‘กสิกรไทย’ ในฐานะธนาคารดั้งเดิมที่สามารถปรับตัวไปกับยุคดิจิทัล สอดรับกับโลกการเงินสมัยใหม่ ทั้งยังมุ่งเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไร้รอยต่อ (Seamless) ให้แก่ลูกค้าบุคคลและลูกค้าองค์กรผ่าน Orbix Group กลุ่มธุรกิจบริการที่เข้ามาเติมเต็มระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ ‘กสิกรไทย’ เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่แข็งแกร่งและมีบทบาทเพิ่มขึ้นในสายตาคนไทยและชาวโลก
“Orbix Group น่าจะเป็นกลุ่มสถาบันการเงินไทยที่มี License หรือใบอนุญาตในการเป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลครบเครื่องที่สุดในประเทศไทยแล้ว”
ดร.กรินทร์กล่าวในช่วงท้ายของการเปิดตัว Orbix Group ว่า “ขอทิ้งท้ายสิ่งที่เราและทีมงานเชื่อ คือ ไทยเป็นผู้เล่นเจ้าเดียวเลยที่มีบูธในงาน MONEY 20/20 งานระดับโลกซึ่งมาจัดที่เมืองไทย แล้วเราก็พยายามที่จะทำให้เห็นว่า ประเทศไทยก็มีดีไม่แพ้ใคร”

ช่วงเสวนาในหัวข้อ ‘LEGACY BANKS IN THE NEW ECONOMY: INNOVATION, AGILITY, AND CUSTOMER-CENTRIC TRANSFORMATION’ ณ Exchange Stage มี 5 ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณพิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย Mr. Lito Villanueva Chief Innovations & Inclusion Officer and Executive Vice President | Chairman Rizal Commercial Banking Corporation (RCBC) | Fintech Alliance.ph Mr. Chan Cheong Siew Group Chief Strategy & Transformation Officer Maybank และ Ms. Rachel Morrissey Head of Content, USA & Exec. Producer, MoneyPot รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
คุณพิพิธกล่าวถึงการขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันตามพันธกิจของธนาคารกสิกรไทย ในฐานะองค์กรธุรกิจที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย และในสนามแข่งขันนี้ก็มีทั้งคู่แข่งระดับประเทศ ระหว่างประเทศ และระดับโลก
"สำหรับพันธกิจของธนาคารกสิกรไทย อย่างแรก คือ เราจะยังคงเชื่อมโยงกับสิ่งที่เปลี่ยนไปได้อย่างไร อย่างที่สอง เราจะสร้างคุณค่าแก่ตลาดที่ให้บริการอยู่อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร อย่างที่สาม เราจะยังได้เปรียบท่ามกลางการแข่งขันได้อย่างไร โดย 3 องค์ประกอบนี้เป็นแกนหลักของการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันให้อยู่รอดได้อย่างโดดเด่นเหนือคู่แข่ง ทั้งนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ เปิดรับการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชัน เพื่อสเกลธุรกิจและขับเคลื่อนองค์กรได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกเหนือจากนี้ ต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ซึ่งก็คือ ลูกค้า นักลงทุน ผู้ถือหุ้น ผู้ออกนโยบาย รวมถึงหุ้นส่วนทางธุรกิจ"
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทรานสฟอร์มองค์กรคือ การขับเคลื่อนจากบุคลากรภายในองค์กร โดยองค์กรต้องให้พื้นที่บุคลากรได้สร้างสรรค์นวัตกรรม ซึ่งนวัตกรรมยังเป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่การสรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ต่อไป ขณะเดียวกัน นวัตกรรมก็สามารถใช้กำกับดูแลธรรมาภิบาลในแนวทางที่ถูกต้องได้ เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่า ธนาคารสามารถสร้างคุณค่าจากรูปแบบธุรกิจที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีการปรับใช้ทั้งดิจิทัล เทคโนโลยี และนวัตกรรม

พร้อมกันนี้ กสิกรไทยก็มุ่งพาธุรกิจก้าวสู่อนาคต โดยลงทุนในธนาคารระดับแนวหน้า ร่วมกับการปรับใช้นวัตกรรม ทำให้เกิด ‘วัฒนธรรมใหม่’ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลูกฝังเพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมใหม่ และสร้างความมั่นใจได้ว่า ธนาคารยังคงยืนหยัดอยู่แถวหน้า ทั้งยังสามารถสร้างคุณค่าอย่างต่อเนื่องต่อไป
“วิธีที่เราสามารถสร้างมูลค่าได้ ประการแรก กสิกรไทยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อยกระดับการดำเนินงานของธนาคาร ทำให้เราได้ เข้าใจลูกค้า นำเสนอบริการในเวลาที่ใช่ ในช่วงที่เหมาะสม หรือแม้แต่ตรวจจับการฉ้อโกง รวมถึงบริหารจัดการความเสี่ยง และในฐานะที่กสิกรไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ คุณรู้ไหมว่า การติดตามหนี้สำคัญมากภายใต้สภาพการณ์ของตลาดในตอนนี้ แต่เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับการทำงานของเราได้”
ประการที่สอง คุณพิพิธกล่าวว่า กสิกรไทยขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดที่มีการเติบโตสูง แล้วทำไมจะไม่ส่งออกความสามารถที่ธนาคารสร้างขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งไปยังตลาดอื่น เพื่อกระจายรายได้
“เนื่องจากเรามีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง และเรายังสร้างความสามารถในการบริหารจัดภายในองค์กร โดยทำงานข้ามอุตสาหกรรมกับองค์กรมากมาย เราจึงสามารถส่งต่อความสามารถใหม่ๆ ไปยังตลาดอื่นได้ หรือแม้แต่ในตลาดข้ามพรมแดน ล่าสุดธนาคารกสิกรไทยขยายตลาดเข้าสู่ระดับภูมิภาค คือ ประเทศจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งเราไม่ได้โฟกัสเป็นหลัก แต่เราพบว่า สามตลาดนี้มีศักยภาพมากในการทำ Hybrid Bank ซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งที่กสิกรไทยทำ นี่คือตลาดทั้งหมดของเราและเราก็มีส่วนแบ่งการตลาดข้ามพรมแดนอย่างมีนัยสำคัญ
“ประการที่สาม กสิกรไทยทำงานอย่างหนักมาตลอด โดยเฉพาะ 5 ปีที่ผ่านมา เราทำก่อนเกิดโรคระบาดเพื่อก้าวข้ามไปสู่อนาคตของธุรกิจธนาคาร นั่นคือ การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในโลกการเงิน ซึ่งถ้าคุณได้ไปเยือนบูธของเรา จะเห็นกลุ่มธุรกิจที่เราได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต.ให้ดำเนินธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลครบมากที่สุดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล แล้วก็ยังมีธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานบล็อกเชนของเราเอง เพื่อร่วมสร้างบล็อกเชนกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องบนเศรษฐกิจบล็อกเชน และเรายังขยายไปสู่ตลาดโลกอีกด้วย”
เนื่องจากธุรกิจธนาคารเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุมอย่างจริงจังและมีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ดังนั้น หากจะขับเคลื่อนธุรกิจให้เร็วและสร้างความเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้าง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ธนาคารจึงไม่สามารถทำเพียงลำพังได้
“เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจ Pain Point ของแต่ละอุตสาหกรรมในเชิงลึก โดยคำนึงถึงบทบาทใหม่ของเรา แม้กระทั่งก้าวข้ามการธนาคารแบบดั้งเดิมเพื่อสร้างคุณค่า เชื่อมโยงกับธุรกิจอื่นๆ และอยู่ ณ จุดสูงสุดได้ต่อไป ดังนั้น อย่าลังเลที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับเรา” คุณพิพิธเสนอเรื่องเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจเป็นการทิ้งท้าย

ในงาน MONEY20/20 Asia ณ เวที Human A.I.ty คุณวศิน วณิชย์วรนันต์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ร่วมวงเสวนาในหัวข้อ ‘DIGITAL BANKS VS LEGACY BANKS : WILL 2025 BE THE TIPPING POINT?’ ร่วมกับ Mr. Simon Loong, Founder & Group CEO WeLab Mr. Zokhir Rasulov Chief Digital Officer ABA Bank และ Ms. Kwanlah Sobhon Chief Representative BNY Thailand
คุณวศินกล่าวถึงการแข่งขันระหว่างธนาคารดิจิทัลและธนาคารดั้งเดิม ผ่านมุมมองของผู้นำองค์กรการเงินบนเวทีฟินเทคระดับโลก โดยมีประเด็นสำคัญ คือ ธนาคารดั้งเดิมสามารถรักษาความสำคัญและแข่งขันกับธนาคารดิจิทัลได้โดยการปรับตัวเป็น Hybrid Bank กล่าวคือ ผสานระหว่างความแข็งแกร่งของธุรกิจดั้งเดิม เช่น ความน่าเชื่อถือ ความสัมพันธ์กับลูกค้า เข้ากับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ทันสมัย ร่วมกับการจับมือเป็นพันธมิตรกับองค์กรต่างๆ เพื่อเจาะตลาดใหม่
ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล คุณวศินย้ำว่าเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนางานบริการลูกค้าของธนาคารให้ดียิ่งกว่าเดิม “เวลาพูดถึงดิจิทัล ไม่ได้หมายถึงแค่การแปลงเอกสารหรืองานที่ทำอยู่ให้เป็นดิจิทัลเท่านั้น แต่เราต้องคิดใหม่ว่า เราจะทำอย่างไรให้รวดเร็วและชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์อนาคตได้ สำหรับกสิกรไทย เราต้องพัฒนาศักยภาพ 2 ด้านเป็นอย่างน้อย ด้านแรกคือ ปฏิสัมพันธ์ที่เรามีกับลูกค้า เนื่องจากการเป็นธนาคารดั้งเดิม สิ่งที่เรามีข้อได้เปรียบอยู่แล้วคือ ช่องทางทางกายภาพที่เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาช้านาน
“กับสอง ศักยภาพด้านดิจิทัล ที่เราจะใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น เช่น การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ในแอปธนาคารของเราที่ทำได้เป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ยอดการทำธุรกรรมผ่านมือถือที่มีมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา และการทำธุรกรรมของเราก็มีมากถึง 95% ที่เป็นธุรกรรมดิจิทัล"
คุณวศินเล่าต่อถึงกลยุทธ์สำคัญของธนาคารกสิกรไทยเพื่อรับมือกับความท้าทายในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในช่วง 7-10 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนในนวัตกรรม การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร รวมถึงการใช้จุดแข็งด้าน Human Touchpoints ขับเคลื่อนให้ลูกค้าใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้ทุกที่ ทุกเวลา และปลอดภัย สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ทั้งยังต่อยอดธุรกิจธนาคารสู่ระบบนิเวศทางการเงินยุคใหม่ อย่างการจัดตั้งกลุ่มธุรกิจทางการเงินเพื่อรองรับ Digital Asset Ecosystem และการให้บริการที่ครบวงจรเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในโลกการเงินยุคใหม่
เมื่อถามว่าจะยกระดับประสบการณ์ลูกค้าธนาคารได้อย่างไร คุณวศินอธิบายว่า กสิกรไทยทำสิ่งที่เรียกว่า Omni-Channel “เราต้องสร้างประสบการณ์แบบ Omni-channel โดยเชื่อมโยงทั้งช่องทางสาขา ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ และช่องทางดิจิทัลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาได้รับการบริการที่ตรงใจ โดยเราใช้ข้อมูลลูกค้าที่สะสมมาเป็นเวลานานในการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘โซลูชันเฉพาะบุคคล’ ให้ลูกค้ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ คุณวศินกล่าวถึงการจัดตั้งทีมดิจิทัลขึ้นมาอีกทีมหนึ่ง เพื่อให้ได้แนวคิดใหม่ๆ แรงผลักดันใหม่ๆ โดยจ้าง ‘คนที่ไม่มีประสบการณ์ในวงการธนาคาร’ เข้ามาทำงานกับกสิกรไทย เพื่อนำมุมมองใหม่ๆ และการคิดนอกกรอบของคนกลุ่มนี้มาสร้างความเปลี่ยนแปลงและพัฒนานวัตกรรม แม้ว่าในช่วงแรกต้องเผชิญความขัดแย้งบ้าง แต่ที่ผ่านมาก็ทำให้ธนาคารสามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"พวกเขามีคำถามแปลกๆ มากมายที่อาจทำให้คนในสายธนาคารหงุดหงิดบ้าง แต่ในท้ายที่สุด ก็ทำให้บุคลากรดั้งเดิมคิดต่างออกไปได้ ด้วยคำถามที่จริงใจและด้วยมุมมองใหม่ๆ” คุณวศินกล่าวเสริม
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำความเข้าใจปัญหาของลูกค้าและแก้ไขให้ตรงจุด พร้อมทั้งพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้กระบวนการพัฒนาแบบ Agile ที่เน้นความยืดหยุ่นและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เพราะท่ามกลางการแข่งขันในตลาด ยังต้องแก้ไขปัญหาลูกค้า ดังนั้น ต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลส่งมอบบริการให้รวดเร็วยิ่งขึ้น" คุณวศินกล่าวสรุป
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด