2022 คือปีที่มีการ Layoff สูงถึง 160,097 ตำแหน่งจาก 1,045 บริษัท โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ (Big Tech) ที่มีการเลิกจ้างเป็นจำนวนมากระดับหมื่นตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น Alphabet (Google) ที่ปลดพนักงานไปมากถึง 12,000 ตำแหน่ง และคู่แข่งอย่าง Microsoft ที่ปลดไป 10,000 ตำแหน่ง
ในฝั่งของโซเชี่ยลมีเดียก็มีการเลิกจ้างเช่นกัน Twitter ปรับลดเป็นสัดส่วนครึ่งต่อครึ่งนับตั้งแต่การเข้าซื้อของ Elon Musk นับเป็นจำนวน 3,700 ตำแหน่ง (50%) ฝั่งคู่แข่งอย่าง Meta (Facebook) ที่ Mark Zuckerberg เปลี่ยนชื่อบริษัทและปรับทิศทางไปสู่ Metaverse ก็ปลดพนักงานไปกว่า 11,000 ตำแหน่ง
อะไรคือสาเหตุของปรากฏการณ์ครั้งนี้ ผลกระทบจะมากขนาดไหน และคลื่นการเลิกจ้างครั้งใหญ่นี้จะไปสิ้นสุดเมื่อไหร่ ติดตามได้ในบทความนี้
Layoff คือการที่บริษัทยุติการจ้างพนักงาน ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เช่น บริษัทประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง ความต้องการผลิตภัณฑ์บริการลดลง ต้องการลดค่าใช้จ่าย ผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำ หรือต้องการปรับลดขนาดธุรกิจหรือโครงสร้างองค์กร เป็นต้น
ในช่วงโควิดระบาดบริษัทเทคโนโลยีเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้เปรียบ เพราะผู้คนทั้งโลกจำเป็นต้องอยู่บ้าน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น ความจำเป็นในการใช้งานระบบ Video Conference ที่มากขึ้น ทำให้ Zoom หรือ Microsoft Teams ได้รับอานิสงส์นี้ไป
เมื่อต้องอยู่บ้าน จึงต้องใช้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ ก็ทำให้ธุรกิจ E-Commerce อย่าง Amazon มียอดการสั่งซื้อของเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจนี้มากขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็มีการจ้างงานจำนวนที่เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างพากันเพิ่มจำนวนพนักงานเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในช่วงเวลานั้น ในปี 2022 Amazon มีพนักงานเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2019 Meta ก็เร่งเพิ่มพนักงานขึ้นเกือบสองเท่า ระหว่างเดือนมีนาคม 2020 จนถึงเดือนกันยายนปีที่แล้ว เช่นเดียวกับ Microsoft Google และบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เช่น Salesforce Twitter
และอย่างที่เราทราบกัน สถานการณ์เศรษฐกิจช่วงโควิดจนถึงปัจจุบันนับว่าวิกฤต อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูง ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย ประกอบกับสถานการณ์โควิดที่เริ่มดีขึ้นทำให้ผู้คนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมมากขึ้น อัตราการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์จึงลดลง นอกจากนั้นเม็ดเงินจากค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา (Advertising) ยังลดลงด้วย ส่งผลกระทบต่อกำไรและราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะกลุ่มโซเชียลมีเดีย
อีกทั้งสงครามที่ทำให้ราคาพลังงานเพิ่มมากขึ้นในระหว่างที่เศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว ตามมาด้วยการแก้ปัญหาเงินเฟ้อโดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่หลาย ๆ บริษัทเริ่มที่จะเลิกจ้างเพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย
ปี 2022 คือจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจและฟองสบู่ของราคาหุ้นเทคฯ ที่เพิ่มสูงเกินความเป็นจริง สิ่งที่ตามมาจากการขึ้นดอกเบี้ยคือความเป็นไปได้ที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอย ทำให้บริษัทเทคฯ รายใหญ่เริ่มที่จะปลดพนักงานออกเป็นจำนวนมากเพื่อเตรียมรับกับความเสี่ยงที่อาจจะขึ้น เนื่องจากบริษัทเทคฯ และสตาร์ทอัพนั้นพึ่งพาเงินทุนจาก Venture Capital (VC) ทำให้การกู้ยืมเงินมีต้นทุนที่สูงขึ้นตามไปด้วย
Jeffrey Pfeffer ศาสตราจารย์จาก Stanford Graduate School of Business มีอีกมุมมองที่มีความเห็นต่าง เขากล่าวว่า กาารเลิกจ้างนั้นเป็นพฤติกรรมที่ทำตามๆ กัน (social contagion) ของบริษัทต่างๆ มันไม่ได้ช่วยเพิ่มราคาหุ้น หรือเพิ่ม productivity Pfeffer คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยและมูลค่าของตลาดนี้ก็เป็นฟองสบู่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ เช่น Meta ที่จ้างพนักงานเป็นจำนวนมากแถมมีเงินจำนวนมากแต่ก็เลิกจ้างเพราะทำตามบริษัทอื่นๆ
ปรากฏการณ์ระลอกคลื่น (The Ripple Effect) คือผลที่ตามมาจากการเลิกจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พนักงานที่ไม่ได้ถูก layoff จะต้องมีภาระงานที่มากขึ้นพร้อมกับความกดดันที่มากขึ้นตาม การที่ต้องทำงานมากเกินไปทำให้ความพึงพอใจหรือแพชชั่นในการทำงานลดลง ในส่วนของพนักงานที่ถูก layoff ก็เจอความท้าทายของการหางานใหม่เนื่องจากแวดวงเทคฯ เป็นวงการที่มีการแข่งขันสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผลที่ตามมาคือปัญหาเรื่องความมั่นคงทางการเงินและความมั่นใจในการทำงานที่ลดลงซึ่งส่งผลกระทบทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะถูก layoff หรือไม่ก็ตาม
มีงานวิจัยออกมาว่าเหตุการณ์การการเลิกจ้างสามารถเพิ่มอัตราการฆ่าตัวตายของพนักงานเป็นสองเท่า Jeffrey Pfeffer กล่าวว่าการเลิกจ้างไม่ได้แก้ปัญหาอะไรและส่งผลกระทบหลายอย่าง เช่น พนักงานที่ยังคงอยู่ก็จะรับแรงกดดันว่าจะเป็นรายต่อไปหรือไม่ เขาทิ้งท้ายว่าว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นการตัดสินใจที่แย่
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ฟ้าหลังฝนของการเลิกจ้างสายเทคฯ โอกาสของบริษัท Non-Tech
หนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ไม่ได้มีการเลิกจ้างก็คือ Apple บริษัทเทคฯ ที่มีจำนวนพนักงาน 164,000 ชีวิต สาเหตุที่ไม่จำเป็นต้องปลดพนักงานเป็นเพราะว่า Apple มีความระมัดระวังในการจ้างพนักงานไม่ให้จ้างเยอะเกินไปตั้งแต่แรกแล้ว
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ในระหว่างปี 2020-2022 Apple มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 20% ในขณะที่ Alphabet บริษัทแม่ของ Google จ้างงานเพิ่ม 60%
มากไปกว่านั้น Amazon และ Saleforce จ้างงานสูงถึง 100% ในฝั่งของ Meta และ Microsoft มีการจ้าง 90% และ 50% ตามลำดับ
ในทางกลับกัน Apple ไม่เลิกจ้างพนักงานแต่หันไปเลิกจ้าง recruiters หรือฝ่ายสรรหาบุคลากรเป็นจำนวน 100 คน ในเดือนสิงหาคม 2022 เนื่องจากได้พนักงานคงที่และครบดีแล้ว และ Tim Cook ยังรับเงินเดือนลดลง 40 % อีกด้วย
อีกหนึ่งบริษัทเทคฯ ที่เกี่ยวข้องกับบริการเช่าที่พักที่รอดจากปรากฏการณ์ครั้งนี้คือ Airbnb ที่มองเห็นแนวโน้มตลาดหลังเกิดเหตุการณ์โควิด ประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดที่ส่งผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวโดยตรง ทำให้ตัดสินใจ layoff พนักงานไปมากถึง 1 ใน 4 หรือเกือบ 1,900 ตำแหน่งเมื่อปี 2020 การเหยีบเบรคครั้งนั้นทำให้ Airbnb ไม่ติดโผการเลิกจ้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ล่าสุด (14 กุมภาพันธ์) มีการประกาศงบไตรมาสที่ 4 ปี 2022 พบว่ารายได้เพิ่มขึ้นมา 24% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และบริษัทเล็งที่จะจ้างงานต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2023 นี้
ปรากฏการณ์นี้อาจจะยังดำเนินต่อไป สังเกตุได้จากตัวเลขของปี 2023 ที่เริ่มต้นปีได้ไม่นานก็มีการเลิกจ้างสูงถึง 101,807 ตำแหน่งจาก 340 บริษัทแล้ว ล่าสุด (8 กุมภาพันธ์) Disney ก็ได้ประกาศ layoff พนักงานกว่า 7,000 คน (คิดเป็น 3% จากจำนวนพนักงานทั้งหมด) และมีแผนที่จะลดค่าใช้จ่าย 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกด้วย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด