ถึงเวลาตั้งคำถาม ธรรมาภิบาลธุรกิจ กรณีศึกษา Facebook ล่มหนักสุดในรอบ 8 ปี เพียง 1 วัน หลังถูกแฉสร้าง Hate Speech เพื่อกำไร | Techsauce

ถึงเวลาตั้งคำถาม ธรรมาภิบาลธุรกิจ กรณีศึกษา Facebook ล่มหนักสุดในรอบ 8 ปี เพียง 1 วัน หลังถูกแฉสร้าง Hate Speech เพื่อกำไร

เรียกได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ในรอบหลายปี กับเหตุการณ์ที่ระบบ Facebook, Instagram และ WhatsApp ล่ม ซึ่งได้สร้างความเสียหายที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 8 ปีนับตั้งแต่ ปี 2008 เป็นต้นมา แม้ว่าตอนนี้ระบบจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่ทีมงาน Facebook ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อกอบกู้ระบบกลับคืนมา แต่ด้านสาเหตุที่ทำให้ระบบล่มนั้น  Facebook ยังไม่มีการเผยออกมาอย่างเป็นทางการ 

Facebook ล่ม

จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ สะท้อนอะไร และมีเรื่องไหนที่เราควรเรียนรู้ และตั้งคำถามจากเรื่องนี้บ้าง ?

ย้อนกลับไปวันก่อนหน้า ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ Facebook  ล่มรุนแรง Frances Haguen อดีต Product Manager ออกมาแฉเอกสารจำนวนมากภายใต้ชุดรายงาน “Facebook Files” ซึ่งได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับทาง The Wall Street Journal ว่า Facebook นั้นทราบเป็นอย่างดีว่าแพลตฟอร์มได้สร้างปัญหาทางสังคมโดยเฉพาะได้ปล่อยคำพูด Hate Speech ที่สร้างความเกลียดชังระหว่างคนในคอมมูนิตี้ แต่ Facebook ไม่ได้จัดการต่อปัญหาดังกล่าวเพราะเกรงต่อผลประโยชน์ที่อาจสูญเสียไป 

โดย Haguen ได้อ้างถึงอัลกอริทึมของระบบที่เปิดตัวในปี 2018 ที่ผ่านมา ซึ่งจะควบคุมความคิดเห็นต่าง ๆ ที่ผู้ใช้จะเจอในแพลตฟอร์ม Haguen กล่าวว่าอัลกอริทึมประเภทนี้มีส่วนสำคัญที่ปลูกฝังความกลัวและความเกลียดชังต่อผู้ใช้ “การปลุกปั่นให้คนโกรธนั้นทำได้ง่ายกว่าการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์อื่น ๆ” 

ในขณะนั้น Mark Zuckerberg ได้ย้ำว่าอัลกอริทึมดังกล่าวส่งผลกระทบในทางที่ดี “ทางธุรกิจจะต้องรับผิดชอบต่อสังคมว่าบริการของเราไม่เพียงแต่ให้ผู้ใช้ได้เพลิดเพลินไปกับบบริการ แต่ต้องดีต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนด้วย” 

อย่างไรก็ตามใน “The Facebook Files” ได้ปรากฏรายงานวิจัยที่พิสูจน์ว่า Instagram ได้ทำร้ายเด็กสาววัยรุ่น ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกับภาพลักษณ์ของร่างกายตนเอง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้คนหันมาเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น 

ไม่เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากรายงาน The Facebook Files ก่อนหน้านี้ก็ได้มีรายงานจากอดีตพนักงานที่ไม่ประสงค์ออกนามกล่าวหา Facebook ว่า แพลตฟอร์มมีส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างความคิดเห็นให้เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองในสหรัฐฯ และนำไปสู่เหตุการณ์บุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา

แต่ Nick Clegg Vice President of Global Affair ของ Facebook ได้ออกมาโต้ตอบในสื่อ CNN โดยบอกว่า “ผมคิดว่ามันไร้เหตุผล” Clegg กล่าวถึงกรณีที่โซเชียลมีเดียต้องรับผิดต่อเหตุการณ์จราจลเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ที่ผ่านมา “ผมคิดว่าทำให้คนรู้สึกสบายใจมากกว่าถ้าต้องมีคำอธิบายทางเทคนิคสำหรับประเด็นการแบ่งขั้วทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา”

หลังจากที่ Facebook ถูกแฉ เพียง 1 วัน ...

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram และ WhatsApp ต่างเข้าสู่ระบบไม่ได้กะทันหัน ซึ่งเมื่อเข้าสู่แอปพลิเคชันดังกล่าวกลับมีการตอบสนองที่ระบุว่า ระบบเกิดข้อผิดพลาดทางเซิร์ฟเวอร์ อีกทั้งมีรายงานจาก DownDetector.com แสดงให้เห็นว่าระบบภายในของ Facebook ล่มเป็นวงกว้าง และยังระบุไม่ได้ถึงจำนวนผู้ใช้งานที่ไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้ชัดเจน แต่คาดการณ์ถึงจำนวนผู้ใช้งานอยู่ที่ราว 3.5 พันล้านคนทั่วโลก 

ทาง ThousandEyes บริการตรวจสอบเครือข่ายจาก Cisco ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงสาเหตุส่วนหนึ่งว่าเกิดจากความล้มเหลวของ DNS หรือ Domain Name System ที่ขัดข้องจนทำให้แพลตฟอร์มเว็บไซต์ Facebook หายไปจากระบบอินเทอร์เน็ต 

น่าสนใจมากว่านอกจากผู้ใช้งานจะเข้าสู่ระบบในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้ไม่ได้แล้ว พนักงานของ Facebook เองก็เข้าระบบเพื่อทำการซ่อมแซมเซิร์ฟเวอร์ภายในไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะวิศวกรที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยแก้ไขปัญหาด้านการบริการ

โดยพนักงานส่วนหนึ่งได้ให้ข้อสันนิษฐานถึงเหตุการณ์ล่มครั้งนี้ว่าอาจเป็น “เคราะห์กรรมสำหรับการทดสอบผู้แจ้งเบาะแสล่าสุด” 

อย่างไรก็ตามสำหรับประเด็นดังกล่าว แม้ว่าจะไม่สามารถกล่าวอ้างได้เต็มปากว่า เป็นเพราะสาเหตุใด ความผิดพลาดทางเทคนิค หรือ เคราะห์กรรมที่เกิดขึ้นหรือไม่  แต่สิ่งที่เรียนรู้จากประเด็นนี้ คือ ธรรมาภิบาลของธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยี 

ก่อนหน้านี้ หากใครยังจำกันได้ Mark Zuckerberg ได้มีข้อพิพาทกับ Tim Cook ในการถกเถียงถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ 

นอกจากนี้ยังมีสารคดีเรื่อง The Social Dilemma ใน Netflix ที่ตีแผ่เบื้องหลังความโหดร้ายของเทคโนโลยี ที่คอยดึงดูดความสนใจและชักใยความคิดของมนุษย์ให้ติดอยู่กับหน้าจอออนไลน์ เพื่อหาผลประโยชน์จากการซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการชักจูงความเห็นทางการเมือง สร้างความแบ่งแยกทางความคิดอย่างไร้มนุษยธรรม ที่เป็นประเด็นที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจด้วย 

ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า โซเชียลมีเดีย ส่งผลต่อความคิดและของผู้ใช้งานอย่างสิ้นเชิง 

Techsauce  เคยได้นำเสนอเรื่องราวของ Big tech ที่ควรจะต้องปฎิรูปโมเดลธุรกิจที่ดำเนินอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียรอบข้างมากขึ้น  ด้วยการหันมาสร้างนวัตกรรมที่จะขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจอย่างมีมนุษยธรรม 

อย่างที่เราทราบกันดีว่าเศรษฐกิจในโลกทุกวันนี้ต้องพบกับวิกฤตมากมาย หลายๆ ประเทศก็ให้ความสนใจไปกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศให้สามารถเลี้ยงปากท้องของคนในประเทศได้ จึงได้มีการนำเทคโนโลยีหลายๆ อย่างมาช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนทำให้ลืมไปว่า ตัวการสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจคือ มนุษย์

โลกออนไลน์ดึงดูดคนด้วยโฆษณาแฝงและข้อมูลลวง ทำให้โลกออฟไลน์ได้รับผลกระทบและมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างไม่เป็นมิตรกับระบบเศรษฐกิจแบบนี้ จึงเกิดเป็นผลกระทบกับมนุษย์มากที่สุด ทั้งทำให้มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ และส่งผลให้ขาดความมั่นใจในการตัดสินใจต่างๆ 

ดังนั้น เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่ควรจะผลิตออกมานั้นต้องมีความใส่ใจกับความเป็นอยู่ของมนุษย์มากยิ่งขึ้น ในการพัฒนาเทคโนโลยีไปในทางที่ดีเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน มากกว่าเป็นประโยชน์ต่อองค์กรของตัวเอง (อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่

อย่างไรก็ดี มูลค่าความเสียหายจาก #เฟสล่ม ได้ทำให้ราคาซื้อขายหุ้น Facebook ร่วงลงราว 5.5% คิดเป็นจำนวนเงินได้ราว 2 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 1.6 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว

อ้างอิง CNBC

Forbes

CNBC 

NY Times

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

17 เรื่อง AI ต้องรู้ จากรายงาน AI Index 2024

Techsauce ได้สรุป 17 ประเด็นสำคัญจากรายงาน AI Index Report 2024 ซึ่งจัดทำโดย Stanford Institute for Human-Centered Artificial Intelligence (HAI) ที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ของปัญญาประดิ...

Responsive image

แนะเทรนด์ลงทุนในสตาร์ทอัพปี 2024 พร้อมช่องทางใหม่ในการระดมทุนจากงาน KATALYST TALK MEETUP #3

บทความที่เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพควรอ่านเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการเผชิญความท้าทายในปีนี้ จากการรับฟังภายในงาน KATALYST TALK MEETUP #3 ‘Navigating the Startup Challenges in 2024 and Beyond’...

Responsive image

เตรียมพบกับงาน SEA Blockchain Week 2024 (SEABW) ยกขบวนกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชน และ Web 3 ระดับโลกกว่า 100 คน มาร่วมพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ที่เมืองไทย

Southeast Asia Blockchain Week หรือ SEABW งานด้านบล็อกเชนสุดยิ่งใหญ่ระดับภูมิภาค ที่เตรียมจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 24-25 เมษายน 2567 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ True ICON HALL ช...