Blockchain กลายเป็นเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพล และสร้างการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติสำคัญ ได้แก่ การกระจายอำนาจ (Decentralization), ความปลอดภัย (Security) และ ความสามารถในการขยายเครือข่าย ( Scalability ) โดยเฉพาะเมื่อมีการนำไปใช้งาน และเกิดธุรกรรมขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการปรับขนาดเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพมากพอในการรองรับการเพิ่มขึ้นของอัตราปริมาณงานของระบบจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
ความสามารถในการปรับขนาดที่สัมพันธ์กับ Blockchain คือ ความสามารถในการรองรับทรัพยากรเพิ่มเติมหรือขยายขนาดตามและเมื่อฐานผู้ใช้เริ่มเติบโตเกินพื้นที่ที่มีอยู่ โดยปัจจัยต่างๆ ที่กำหนดความสามารถในการปรับขนาดของ Blockchain นั้น ได้แก่
ปัจจัยด้านต้นทุนและความจุในความสามารถในการปรับขนาดได้แสดงถึงความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากบน Blockchain ซึ่งทุก node ในเครือข่าย Blockchain ไม่มีทรัพยากรและความสามารถเพียงพอสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลดังกล่าว นั่นจึงเป็นปัญหาที่ทำให้ต้นทุนธุรกรรมมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
ในการทำธุรกรรมบน Blockchain นั้นจะมีการเชื่อมต่อไปยังทุกๆ node ซึ่งทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรของเครือข่ายเป็นจำนวนมากและทำให้เกิดความล่าช้าในการกระจาย node ดังนั้นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลจึงมีความสำคัญ
เวลาที่จำเป็นสำหรับการยืนยันต่อธุรกรรมหนึ่งรายการและขนาดของบล็อกสำหรับธุรกรรม ด้วยจำนวนธุรกรรมที่มากขึ้น ขนาดของบล็อกจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมมากขึ้นเช่นกัน
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงสามารถสรุปปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการปรับขนาดของ Blockchain ได้ดังนี้
ข้อจำกัด (Limitations) ปัญหาที่สำคัญที่สุดในความสามารถในการปรับ Blockchain คือ ข้อจำกัด เนื่องจากมีข้อจำกัดของ Hardware ในการขยายเครือข่ายของ Blockchain จึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาและบำรุง Hardware และในกรณีของการประมวลผลธุรกรรมใหม่ๆ ซึ่งแต่ละ node จะเพิ่มข้อมูลลงในบัญชี ทำให้ให้ประวัติการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ระบบสามารถล่มได้
ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม (Transaction Fees) จำนวนการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายBlockchain ทำให้กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการพลังงานในการประมวลผลที่สูงขึ้นสำหรับการขุด ผู้ใช้ต้องชำระค่าธรรมเนียมเฉพาะสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมของตน ด้วยเครือข่ายBlockchainที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ต่างกระตือรือร้นที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมของพวกเขา
ขนาดบล็อก (Block Size) จำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นในเครือข่ายBlockchainนำไปสู่กระบวนการที่ใช้เวลามากในการดำเนินการธุรกรรม
เวลาตอบสนอง(Response Time) ธุรกรรมทั้งหมดในเครือข่ายBlockchain ควรผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องธุรกรรม ซึ่งในการตรวจสอบธุรกรรมจำเป็นที่จะต้องพิจารณาจากจำนวนธุรกรรมในการเข้าคิวดังนั้น เวลาตอบสนองนั้นจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจึงสามารถที่จะสรุปได้ว่าความสำคัญของ Blockchain scalability นั้นคือ การที่สามารถประมวลผลในการทำธุรกรรมได้เร็วมากยิ่งขึ้น จะช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมมีราคาที่ถูกลงเพราะเป็นการลดเวลาและข้อจำกัดต่างๆที่ใช้ในการประมวลผล
อ้างอิง
What is Blockchain Scalability? Why Will It Be a Key Investment Metric in 2022?
Blockchain Scalability Problem – Why Is It Difficult To Scale Blockchain
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด