Scalability คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อประสิทธิภาพของ Blockchain ?

Blockchain กลายเป็นเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพล และสร้างการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคุณสมบัติสำคัญ ได้แก่ การกระจายอำนาจ (Decentralization), ความปลอดภัย (Security) และ ความสามารถในการขยายเครือข่าย ( Scalability ) โดยเฉพาะเมื่อมีการนำไปใช้งาน และเกิดธุรกรรมขึ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการปรับขนาดเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพมากพอในการรองรับการเพิ่มขึ้นของอัตราปริมาณงานของระบบจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ 

Scalability

ความสามารถในการปรับขนาดที่สัมพันธ์กับ Blockchain คือ ความสามารถในการรองรับทรัพยากรเพิ่มเติมหรือขยายขนาดตามและเมื่อฐานผู้ใช้เริ่มเติบโตเกินพื้นที่ที่มีอยู่ โดยปัจจัยต่างๆ ที่กำหนดความสามารถในการปรับขนาดของ Blockchain นั้น ได้แก่ 

ต้นทุนและความจุ(Cost & Capacity) 

ปัจจัยด้านต้นทุนและความจุในความสามารถในการปรับขนาดได้แสดงถึงความต้องการในการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากบน Blockchain ซึ่งทุก node ในเครือข่าย Blockchain ไม่มีทรัพยากรและความสามารถเพียงพอสำหรับการจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลดังกล่าว นั่นจึงเป็นปัญหาที่ทำให้ต้นทุนธุรกรรมมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

เครือข่าย(Networking) 

ในการทำธุรกรรมบน Blockchain นั้นจะมีการเชื่อมต่อไปยังทุกๆ node ซึ่งทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรของเครือข่ายเป็นจำนวนมากและทำให้เกิดความล่าช้าในการกระจาย node ดังนั้นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการส่งข้อมูลจึงมีความสำคัญ

ปริมาณงาน(Throughput) 

เวลาที่จำเป็นสำหรับการยืนยันต่อธุรกรรมหนึ่งรายการและขนาดของบล็อกสำหรับธุรกรรม ด้วยจำนวนธุรกรรมที่มากขึ้น ขนาดของบล็อกจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมมากขึ้นเช่นกัน


จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นจึงสามารถสรุปปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการปรับขนาดของ Blockchain ได้ดังนี้

ข้อจำกัด (Limitations) ปัญหาที่สำคัญที่สุดในความสามารถในการปรับ Blockchain คือ ข้อจำกัด เนื่องจากมีข้อจำกัดของ Hardware ในการขยายเครือข่ายของ Blockchain จึงเป็นเรื่องยากที่จะรักษาและบำรุง Hardware และในกรณีของการประมวลผลธุรกรรมใหม่ๆ ซึ่งแต่ละ node จะเพิ่มข้อมูลลงในบัญชี ทำให้ให้ประวัติการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้ระบบสามารถล่มได้ 

ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม (Transaction Fees) จำนวนการใช้งานที่เพิ่มขึ้นของเครือข่ายBlockchain ทำให้กระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมมีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการพลังงานในการประมวลผลที่สูงขึ้นสำหรับการขุด ผู้ใช้ต้องชำระค่าธรรมเนียมเฉพาะสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมของตน ด้วยเครือข่ายBlockchainที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ใช้ต่างกระตือรือร้นที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงขึ้นสำหรับการตรวจสอบธุรกรรมของพวกเขา

ขนาดบล็อก (Block Size) จำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นในเครือข่ายBlockchainนำไปสู่กระบวนการที่ใช้เวลามากในการดำเนินการธุรกรรม

เวลาตอบสนอง(Response Time) ธุรกรรมทั้งหมดในเครือข่ายBlockchain ควรผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องธุรกรรม ซึ่งในการตรวจสอบธุรกรรมจำเป็นที่จะต้องพิจารณาจากจำนวนธุรกรรมในการเข้าคิวดังนั้น เวลาตอบสนองนั้นจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูง

สรุป

จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นจึงสามารถที่จะสรุปได้ว่าความสำคัญของ Blockchain scalability นั้นคือ การที่สามารถประมวลผลในการทำธุรกรรมได้เร็วมากยิ่งขึ้น จะช่วยทำให้ค่าธรรมเนียมมีราคาที่ถูกลงเพราะเป็นการลดเวลาและข้อจำกัดต่างๆที่ใช้ในการประมวลผล


อ้างอิง 

What is Blockchain Scalability? Why Will It Be a Key Investment Metric in 2022?

Blockchain Scalability Problem – Why Is It Difficult To Scale Blockchain


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมคลื่น Layoff 2025 บิ๊กเทคปลดคนครั้งใหญ่ 300 กว่าวันที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ?

อัปเดตวิกฤต Layoff ปี 2025 ในวงการเทค Intel ปลดกว่า 23,000 คน ตามด้วย Microsoft และ Amazon วิเคราะห์ภาพรวมการลดคนครั้งใหญ่และแนวโน้มตลาดแรงงานยุค AI...

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...