ก่อนมาทำความเข้าใจ Blockchain Layer 2 ย้อนกลับไปยังเรื่องของ Blockchain Layer เป็นที่รู้กันว่า Layer 1 แม้จะเป็น Blockchain ที่เกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็มีปัญหาในเรื่องของ Blockchain Trilemma กล่าวคือ เป็นกำแพงที่ขัดขวาง ไม่ให้ Blockchain สามารถมีทั้ง ความปลอดภัย (security) การกระจายอำนาจ (decentralization) และความสามารถในการขยายเครือข่าย (scalability)
จากที่เกริ่นมาข้างต้นปัจจุบันยังไม่มี Blockchain ใดที่มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ในการที่จะทำให้สามารถก้าวสู่ Mass Adoption ได้ ซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาของ Layer 1 ส่วนใหญ่ คือ scalability ที่ทำให้เกิดการทำธุรกรรมที่ช้าและค่าธรรมเนียมที่สูง จากปัญหาดังกล่าวจึงเป็นจุดกำเนิดให้เกิด Layer 2 ขึ้นมา
สำหรับ Layer 2 เป็นเครือข่ายรองที่พัฒนามาจาก Blockchain Layer1 โดยการทำงาน Blockchain Layer 2 เปรียบเสมือนกับ Third-party ที่ใช้ร่วมกับ Layer 1 ซึ่งเป็นการเพิ่ม node เข้ามาแก้ไขในส่วนของการทำธุรกรรมให้มีการประมวลผลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้นและค่าธรรมเนียมที่ถูกลง โดยวิธีการนั้นจะเป็นการนำธุรกรรมของ Blockchain Layer 1 มาประมวลผลและหลังจากนั้นก็ส่งข้อมูลกลับไปยัง Layer 1 นั้นเหมือนเดิม
Solution เฉพาะของ Layer 2 ที่จะนำธุรกรรมหลายร้อยรายการนอก Layer 1 รวมกันเป็นข้อมูลที่บีบอัดชิ้นเดียว แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเครือข่ายหลักเพื่อให้ทุกคนตรวจสอบ นอกจากนี้ Rollup ยังช่วยในการรักษาความปลอดภัยของ Ethereum และช่วยลดค่าธรรมในการธุรกรรมให้ถูกลง 10 - 100 เท่า
ตัวอย่างของ Rollup ยอดนิยม ได้แก่ Arbitrum, Metis และ Optimism
เป็นการเพิ่มความจุและความเร็วของธุรกรรมโดยรวม ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกในการสื่อสารแบบสองทางระหว่างช่องทางการทำธุรกรรมในเครือข่ายหลักและการทำธุรกรรมนอกเครือข่ายผ่านวิธีการต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น Bitcoin's Lightning Network คือเครือข่ายที่มาช่วยแก้ไขในเรื่องความล่าช้าในการประมวลธุรกรรมของ bitcoin
สำหรับ Sidechain จะมีการประมวลผลธุรกรรมมาจาก Layer 1 แต่จะแตกต่างจาก state channel ตรงที่ Sidechain จะมีการบันทึกธุรกรรมทั้งหมดลงบน network เนื่องจากมีการใช้ระบบฉันทามติ (Consensus mechanism) เหมือนกับ Layer 1
ยกตัวอย่างเช่น Polygon เป็น Sidechain ที่แยกมาจาก Ethereum
ทั้งนี้ Layer 2 จะไม่สามารถมาแทนที่ Layer 1 ได้ แต่จะเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด
การเกิดขึ้นมาของ Layer2 นั้นนอกจากที่ช่วยในเรื่องการประมวลผลธุรกรรมที่รวดเร็วและค่าธรรมเนียมที่ถูกลงแล้ว ยังสามารถช่วยในการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน รวมถึงช่วยขยายขอบเขตของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ (dApp) ที่พัฒนาอยู่บน Layer 2 ได้อีกด้วย ซึ่งการที่มีนักพัฒนามาทำ Project ต่าง ๆมากขึ้นก็จะยิ่งดึงดูดรายได้และเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ Layer 2 ยังมีบทบาทในเรื่องของการสร้าง Bridge เพื่อเชื่อมระหว่างแพลตฟอร์มต่างๆมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากความสามารถในการทำงานร่วมกันของ Blockchain ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และในขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรม Cryptocurrency จะเกิดความร่วมมือกัน สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องที่จะช่วยส่งเสริมให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจ
ดังนั้นจากประโยชน์และอนาคตของ Layer 2 ข้างต้นล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนสนใจและจับตามอง
อ้างอิง Binance Academy, chaindebrief.com, cryptonews.com, coindesk.com, cointelegraph.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด