ปั้นยอดขายให้พุ่ง! ส่องกลยุทธ์ Affiliate บน YouTube Shopping ที่ขับเคลื่อนด้วย ข้อมูลและเครื่องมือหลังบ้าน

ในงานครบรอบ 1 ปี YouTube Shopping ประเทศไทย มีอีกหนึ่งเซสชันที่น่าสนใจจากคุณอาร์ม จารุเดช เลิศสุมิตรกุล, Community Partner Manager ของ YouTube ประเทศไทย  ซึ่งได้นำเสนอกลยุทธ์วิธีการทำ Affiliate Marketing ในยุคใหม่ที่ไม่ได้อาศัยแค่การสร้างคอนเทนต์ที่ดี แต่ต้องผสานกับการใช้เครื่องมืออย่างชาญฉลาดและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อยกระดับครีเอเตอร์จากการเป็น "ผู้สร้างคอนเทนต์" สู่การเป็น "Performance Marketer" ที่ขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างแท้จริง

ทำความเข้าใจเส้นทางการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคบน YouTube

คุณอาร์มได้เริ่มต้นด้วยการตอกย้ำว่า YouTube ได้กลายเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในเส้นทางการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคไปแล้วโดยมีข้อมูลสถิติที่น่าสนใจซึ่งเปรียบเสมือน Customer Journey 4 ขั้นตอนหลัก

  • การค้นพบ (Discovery): 75% ของผู้ชมบน YouTube ยอมรับว่า YouTube ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการช้อปปิ้งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน หรือที่เรียกกันว่า "พลังแห่งการป้ายยา"
  • การพิจารณา (Consideration): 63% ของผู้ชมระบุว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าจากแบรนด์ต่างๆ อันเป็นผลมาจากการที่ได้เห็นแบรนด์นั้นๆ บน YouTube 
  • ความไว้วางใจ (Trust): 87% ของผู้ชมเห็นตรงกันว่าครีเอเตอร์บน YouTube สามารถให้คำแนะนำที่พวกเขาสามารถไว้วางใจได้ 
  • การตัดสินใจซื้อ (Action): 93% ของผู้ชมกล่าวว่า YouTube มีข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขาต้องการเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า 

ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่า ครีเอเตอร์คือหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันให้เกิดการซื้อขายอย่างแท้จริง

ปริมาณ (Quantity) - ขยายโอกาสสร้างรายได้ให้ครอบคลุมทุกมิติ

หลักการพื้นฐานที่สุดของการทำ Affiliate คือการเพิ่มโอกาสในการมองเห็น (Visibility) ให้ได้มากที่สุด คุณอาร์มแนะนำให้ครีเอเตอร์วางกลยุทธ์การแท็กสินค้าให้ครอบคลุมทุกรูปแบบคอนเทนต์ที่ YouTube มีให้

  • วิดีโอยาว (Longform) 
  • Shorts 
  • Live (พร้อมฟีเจอร์ Live Shop) 
  • Posts 

คุณอาร์มได้ให้เทคนิคเพิ่มเติมว่าครีเอเตอร์ไม่ควรมองข้าม "คอนเทนต์เก่า" ที่ยังคงมียอดวิวอยู่เสมอ การย้อนกลับไปแท็กสินค้าในวิดีโอเหล่านี้เปรียบเสมือนการสร้างเครื่องจักรผลิตเงินแบบ Passive Income

คุณภาพ (Quality) - เปลี่ยน "คลิก" ให้เป็น "ยอดขาย" ด้วยเครื่องมืออัจฉริยะ

นอกเหนือจากปริมาณแล้ว การเพิ่ม "คุณภาพ" ของการนำเสนอเพื่อเพิ่มอัตราการคลิก (Click-through Rate) และการตัดสินใจซื้อ (Conversion Rate) ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยมี 3 เครื่องมือหลักที่จะเข้ามาช่วย

1. Timestamps (การแท็กตามช่วงเวลา) 
เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถไฮไลท์สินค้าได้อย่างมีกลยุทธ์ ณ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในวิดีโอ คุณอาร์มอธิบายเพิ่มเติมว่า "หลังจากที่เราปูเรื่องราวและสร้างความอยากได้ให้กับผู้ชมแล้ว แท็กสินค้าที่ปรากฏขึ้นมา ณ วินาทีที่พูดถึงสินค้านั้นๆ พอดี จะเป็นคลิกที่มีคุณภาพสูงมาก"

จากการทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนกันยายน 2023 พบว่า วิดีโอที่มีการแท็กสินค้าด้วย Timestamps มียอดคลิกบนสินค้าสูงกว่าวิดีโอที่ไม่มีการแท็กถึง 2 เท่า 

2. Shopping Stickers on Shorts (สติกเกอร์ช้อปปิ้งบน Shorts)
เป็นฟีเจอร์ที่ผู้ชมจะเห็นสติกเกอร์ของสินค้าและสามารถคลิกเพื่อเข้าไปยังหน้าเว็บของผู้ค้าปลีกได้ทันที โดยครีเอเตอร์สามารถปรับขนาดและตำแหน่งของสติกเกอร์ได้ 

จากการทดลองในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 พบว่า Shorts ที่มีสติกเกอร์ช้อปปิ้ง มียอดคลิกบนสินค้าสูงกว่า Shorts ที่มีเพียงปุ่ม Shopping ทั่วไปถึง 40% 

3. YouTube Shopping Chrome Extension (ส่วนขยายบน Chrome)
เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้ครีเอเตอร์สามารถบันทึกสินค้าที่สนใจขณะที่กำลังท่องเว็บของแบรนด์หรือผู้ค้าปลีก เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและนำมาแท็กในวิดีโอของตนเองใน Studio ภายหลัง 

ครีเอเตอร์สามารถเห็นได้ทันทีว่าจะได้รับรายได้เท่าไหร่จากการแท็กสินค้านั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องออกจากหน้าเว็บของผู้ค้าปลีก 

การวิเคราะห์ (Analytics) - ขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้วยข้อมูลหลังบ้าน

คุณอาร์มเน้นย้ำว่าสิ่งที่ยกระดับครีเอเตอร์มืออาชีพคือการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ครีเอเตอร์สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของสินค้าที่ถูกแท็กได้ใน YouTube Analytics ซึ่งจะช่วยตอบ 2 คำถามสำคัญ

  1. "วิดีโอไหนขายดีที่สุด?" (Top earning content )
    การวิเคราะห์นี้จะช่วยให้ครีเอเตอร์ค้นพบ "สูตรสำเร็จ" ของคอนเทนต์ที่ปิดการขายได้จริง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของวิดีโอ (Format) หรือสไตล์การเล่าเรื่อง (Style)

  2. "สินค้าชิ้นไหนขายดีที่สุด?" (Top products )
    ข้อมูลนี้จะช่วยให้ครีเอเตอร์เข้าใจความต้องการของผู้ชมได้อย่างลึกซึ้งว่าสนใจสินค้าประเภทไหนและอยู่ในช่วงราคาใด ทำให้สามารถเลือกสินค้ามารีวิวในอนาคตได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ ครีเอเตอร์ยังต้องทำความเข้าใจเมตริก Affiliate อื่นๆ เช่น รายได้โดยประมาณ (Estimated revenue), ค่าคอมมิชชันที่ได้รับการอนุมัติ (Approved commissions), ค่าคอมมิชชันที่รอดำเนินการ (Pending commissions) และสินค้าที่ถูกส่งคืน (Returned products) เพื่อให้เห็นภาพรวมของธุรกิจอย่างแท้จริง

คุณอาร์มได้ทิ้งท้ายด้วยกลยุทธ์การนำข้อมูลหลังบ้านที่วิเคราะห์ได้ทั้งหมดนี้ มาสร้างเป็น "Portfolio" หรือ "Sales Kit" เพื่อใช้ในการเจรจาธุรกิจ "เมื่อคุณรู้ว่าช่องของคุณขายสินค้าประเภทไหน ในช่วงราคาใดได้ดีที่สุด คุณสามารถเดินเข้าไปหาแบรนด์พร้อมกับข้อมูลจริงที่พิสูจน์ประสิทธิภาพของช่องคุณได้เลย" 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เจาะลึก Beyond DeepSeek เมื่อมังกรจีนไม่ได้มีแค่หัวเดียว เปิด map กองทัพ Open-Weight AI ที่กำลังเขย่าบัลลังก์เทคฯ โลก

เจาะลึกรายงาน Stanford: เบื้องหลัง AI จีนที่ไม่ได้มีแค่ DeepSeek แต่คือระบบนิเวศ Open-Weight ที่น่ากลัว เผยกลยุทธ์ทำเงินจาก "ของฟรี" และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่องค์กรต้องรู้ก่อ...

Responsive image

Gartner ชี้สัญญาณอันตราย 5 จุดบอดของ GenAI ที่ผู้บริหารไอทีต้องเร่งจัดการก่อนจะสาย

Gartner เตือน CIO ถึง 5 จุดบอดสำคัญในการใช้ GenAI ทั้ง Shadow AI, หนี้ทางเทคนิค และทักษะคนที่ถดถอย พร้อมทำนายปี 2030 คือจุดชี้ชะตาธุรกิจ...

Responsive image

สรุป Insight จาก ‘Turn ThAI to Tech Tide’ ชี้ไทยผลิต AI Talent ได้ไม่ถึง 500 คนต่อปี ถอดรหัส 4 กลยุทธ์จาก ดร.เอ้ และ ดร.อ้อ กู้วิกฤต Talent พลิกอนาคต AI ไทย

เจาะลึกกลยุทธ์กู้วิกฤตระบบเทคไทยจากการศึกษาจนถึงนโยบายรัฐ จากเวที AI Innovation Summit 2025 แก้ปัญหาไทยโตช้าในสนาม Data Economy ระดับโลก...