จากการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า องค์กรทุกขนาดเริ่มประสบปัญหาสุขภาพของพนักงานและผู้บริหาร ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการสุขภาพหรือค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง การเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ปัญหาความเสี่ยงและการเกิดโรคร้ายแรงในผู้บริหารระดับสูง ความซับซ้อนและภาระงานที่มากขึ้นของการบริหารงานบุคคลในด้านสุขภาพ ปัญหาความเครียดและสุขภาพจิตของพนักงาน อาการออฟฟิตซินโดรมที่มีแนวโน้มมากขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากพนักงานและผู้บริหารมีจำนวนมาก ดังนั้น เราจึงเห็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลสุขภาพพนักงานและผู้บริหารมากขึ้น
นอกจากนี้ ปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคไขมันในเลือดสูง มีอัตราเพิ่มมากขึ้นในองค์กร ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงที่รักษายากและอันตราย เช่น โรคหัวใจ หรือ โรคหลอดเลือดสมองแตกหรือตีบ มากขึ้น จากข้อมูลพบว่าบางองค์กรมีสัดส่วนของพนักงานมีความผิดปรกติของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังมากถึง 25% ของพนักงานทั้งหมดซึ่งนับว่าสูงมาก
ข้อมูลจาก Harvard Business Review ระบุว่า งบประมาณที่ใช้ในการส่งเสริมสุขภาพของพนักงานทุก 1 ดอลลาร์ องค์กรจะได้ผลตอบแทนกลับคืนมา 2.71 ดอลลาร์ โดยเฉพาะด้านของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดการลางานจากการเจ็บป่วย หรือ ลดค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพเมื่อเจ็บป่วย
จากความสำคัญดังกล่าวทำให้มีการประมาณการมูลค่าตลาดของการดูแลสุขภาพสำหรับองค์กร จะเติบโตอยู่ที่ $90.7 Billion ในปี 2026 (Grand View Research, Inc.) ทั้งนี้ เทคโนโลยีสำหรับการดูแลสุขภาพและผู้บริหารในองค์กร แบ่งตามรูปแบบการให้บริการต่างๆ เช่น
- แนวทางการใช้เทคโนโลยีสำหรับป้องกันความเสี่ยงโรค (Preventive) เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยดูแลสุขภาพและป้องกันก่อนการเกิดโรคต่างๆ
- การใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและพยากรณ์ความเสี่ยงสุขภาพของพนักงานหรือผู้บริหาร ปัจจุบันข้อมูลสุขภาพจากการตรวจสุขภาพประจำปีนั้น พนักงานจะได้รับในรูปแบบสมุดสุขภาพเป็น hard copy ไม่สามารถติดตามผลการตรวจสุขภาพเป็นแนวโน้มได้ ทำให้อาจไม่สามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น จึงมีการนำระบบ เช่น การรวบรวมข้อมูลสุขภาพจาการตรวจสุขภาพประจำปี หรือ การตรวจตามหลักอาชีวเวชศาสตร์ มาวิเคราะห์และแปลผลในรูปแบบของส่วนบุคคลและภาพรวมองค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนที่จะป่วยเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ และให้คำแนะนำในการดูแลก่อนป่วยได้ด้วย
- การสร้างกิจกรรมร่วมกับการใช้เทคโนโลยีในการติดตามผลเพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ให้พนักงานหรือผู้บริหาร องค์กรเริ่มมีการนำเทคโนโลยี wearable device ที่แพร่หลายในตลาด มาประยุกต์ใช้ในการการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในองค์กร เช่น การแข่งขันการลดน้ำหนักออนไลน์เพื่อลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การแข่งขันออกกำลังด้วยการวิ่งแบบ Virtual Run เป็นต้น มีบางองค์กรนำมาใช้ เช่น Seagate ใช้เทคโนโลยีของ Diamate ในการลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังของพนักงานภายใต้การดูแลด้านอาหารและการออกกำลังกาย หรือ กรุงเทพประกันชีวิต ดำเนินการจัดแข่งขันลดน้ำหนักให้พนักงาน เป็นต้น หรือ Virgin Pulse แพลทฟอร์มที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของพนักงานผ่านกิจกรรมต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ Vitality แพลทฟอร์มที่สามารถการเปลี่ยนการออกกำลังมาเป็นแต้มรางวัล
ตัวอย่างบริการ Dietz ในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพ
- แนวทางการใช้เทคโนโลยีสำหรับรักษาโรค (Curative) เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลรักษาโรคในกรณีที่เป็นโรคไม่ซับซ้อน หรือ โรคเรื้อรังที่ต้องดูแลต่อเนื่อง ลดการเดินทางมาโรงพยาบาลซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของพนักงานได้ เช่น
- การดูแลเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงานผ่าน Tele Medicine องค์กรเริ่มมีการนำเทเลเมดิซีนหรือการแพทย์ทางไกล มาให้บริการพนักงานหรือผู้บริหาร ในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่ซับซ้อนที่พบบ่อย หรือ การรักษาต่อเนื่อง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมอาการได้ หรือการให้บริการด้านสุขภาพจิตหรือความเครียดของพนักงานโดยรูปแบบการให้บริการนักจิตวิทยาคำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชั่น เนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวก ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทางไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยส่วนนี้องค์กรจำเป็นต้องประสานงานกับบริการประกันสุขภาพพนักงานที่ใช้บริการอยู่ให้ดำเนินการรองรับการบริการผ่านเทเลเมดิซีนด้วย ตัวอย่างผู้ให้บริการ เช่น ออก้า เทเลเมดิซีนที่ให้บริการด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
ออก้า เทเลเมดิซีนที่ให้บริการด้านสุขภาพจิต
- การดูแลสุขภาพพนักงานถึงสถานที่ทำงาน สำหรับองค์กรขนาดใหญ่มักจะมีบริการทางการแพทย์โดยแพทย์หรือพยาบาลมาประจำที่สถานประกอบการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีบริการในรูปแบบสหสาขาวิชาชีพเพื่อการดูแลสุขภาพในองค์รวม เช่น นักกายภาพบำบัด เภสัชกร นักโภชนาการหรือนักกำหนดอาหาร นอกจากนี้ องค์กรขนาดกลางและขนาดเล็ก ยังไม่สามารถจัดสวัสดิการเหล่านี้ได้มากนัก การนำเทคโนโลยีบริหารจัดการบุคลากรด้านสาธารณสุขในสถานประกอบการแบบ As a service จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าการที่พนักงานเดินทางไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล เช่น REFIT บริการจัดส่งนักกายภาพบำบัดเพื่อแก้ปัญหาออฟฟิตซินโดรมและการให้คำแนะนำด้านออกกำลังกายให้พนักงาน
REFIT บริการจัดส่งนักกายภาพบำบัดเพื่อแก้ปัญหาออฟฟิตซินโดรมและการให้คำแนะนำด้านออกกำลังกายให้พนักงาน
- การลดค่าใช้จ่ายด้านยาและการรักษาพยาบาลโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ หลายองค์กรประสบปัญหาค่าใช้จ่ายจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง หรือ โรคอ้วนซึ่งโรคเหล่านี้สามารถปรับลดค่าใช้จ่ายด้วยการส่งเสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพได้ เช่น การส่งเสริมให้พนักงานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลัง ซึ่งเมื่อควบคุมอาหารและออกกำลังกายเพิ่มเติมแล้ว จะทำให้สามารถลดการใช้ยาบางชนิดลง เช่น ยาลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น Glycoleap แพลทฟอร์มดูแลผู้ป่วยเบาหวานในประเทศสิงคโปร์
Glycoleap แพลทฟอร์มดูแลผู้ป่วยเบาหวานในประเทศสิงคโปร์
- การรับยาโรคเรื้อรังที่ห้องพยาบาล แนวคิดคือ ในบางองค์กรมีจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังในระดับที่สูง ซึ่งโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมอาการของโรคให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย เช่น การควบคุมความดันโลหิต หรือ การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ซึ่งองค์กรสามารถปรับเปลี่ยนให้การพบแพทย์ในห้องพยาบาลของสถานประกอบการ เป็นจุดที่พนักงานมารับการตรวจติดตามและรับยาโรคเรื้อรังได้ โดยอาจเพิ่มเติมเทคโนโลยี tele medicine สำหรับการปรึกษากับเภสัชกรก่อนทำการรับยาด้วย
- แนวทางการใช้เทคโนโลยีสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและลดค่าใช้จ่าย เทคโนโลยีนี้เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะเรื่องการตรวจสอบและจัดการเคลมค่ารักษาพยาบาล หรือ การลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
- การให้บริการข้อมูลตามกรมธรรม์ หรือตามสวัสดิการของพนักงานผ่านแอปพลิเคชั่น รวมถึงการดำเนินการต่างๆที่จากเดิมฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะเป็นผู้ดำเนินการ เช่น การให้บริการข้อมูลต่างๆ ตามกรมธรรม์ หรือตามสวัสดิการของพนักงาน เช่น สิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล ประวัติการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน (การเคลม) ประวัติการเบิกจ่ายตามสวัสดิการ รายละเอียดความคุ้มครองของผู้ใช้งานและครอบครัวของผู้ใช้งาน การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและการติดตามสถานะการพิจารณา เป็นต้น ตัวอย่างบริการ เช่น TPA Care ของไทยรีเซอร์วิส พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลตนเอง รวมถึงการติดตามสถานะ หรือ การใช้สิทธิรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลได้อีกด้วย หรือ การให้บริการข้อมูลผ่านระบบแชทบอท ของบริษัทประกันต่างๆ เป็นต้น
TPA Care ของไทยรีเซอร์วิส พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลตนเอง รวมถึงการติดตามสถานะ หรือ การใช้สิทธิรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลได้
- การจัดให้มี Self Insurance เพื่อเพิ่มเติมจากสวัสดิการหลัก ให้พนักงานสามารถเลือกจ่ายสมทบเพิ่มเติมเพื่อการคุ้มครองที่มากขึ้นได้ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น CollectiveHealth, Self-insurance SaaS platform
- การเปรียบเทียบและเลือกบริการทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี เป็นการใช้คลังข้อมูลของผู้ให้บริการสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล คลินิก มาประเมิน และวิเคราะห์เปรียบเทียบในด้านต่างๆ เพื่อเลือกผู้ให้บริการสุขภาพที่เหมาะสมทั้งในด้านประสิทธิภาพการรักษา ความสะดวกรวดเร็ว รวมถึงด้านค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น Castlight Health ที่ให้บริการ subscription mode สำหรับองค์การในการเข้าถึงข้อมูลการเปรียบเทียบผู้ให้บริการสุขภาพ หรือ ในประเทศไทยเริ่มมีการเปิดเผยข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาเลือกสถานพยาบาล เช่น การเปิดเผย ราคายาในโรงพยาบาลเอกชน ของกรมการค้าภายใน เป็นต้น
การเปิดเผย ราคายาในโรงพยาบาลเอกชน ของกรมการค้าภายใน
- การส่งเสริมสุขภาพทางการเงินสำหรับพนักงาน เป็นการนำบริการด้านการเงินส่วนบุคคล หรือ การบริหารความมั่งคั่งส่วนบุคคล มาบริการในรูปแบบเทคโนโลยี ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น PayActiv
- การบริหาร Employee Health Benefit การบริหารจัดการ Employee Health Benefit เป็นอีกปัญหาหนึ่งขององค์กร การบริหารจัดการส่วนนี้ช่วยให้ฝ่ายทรัพยากรบุคคลทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น PlanSource Holdings
จะเห็นได้ว่ามีหลากหลายแนวทางในการที่องค์กรจะใช้เทคโนโลยีดูแลสุขภาพพนักงานและผู้บริหารได้ ทั้งในด้านการส่งเสริม ป้องกัน หรือรักษาโรค หรือการเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ อยู่ที่ท่านผู้บริหารและฝ่ายทรัพยากรบุคคลจะเลือกนำมาใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละองค์กรต่อไป
เรียบเรียงโดย
พงษ์ชัย เพชรสังหาร
ผู้ร่วมก่อตั้งไดอะเมท แพลทฟอร์มดูแลผู้ป่วยเบาหวานและโรคเรื้อรังสำหรับองค์กร
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
[email protected]