• แม้ไม่ถูก disrupt แต่จำเป็นต้องทำ Digital Transformation เพื่อปรับองค์กรให้พร้อมเติบโต
• ตั้งเป้ารายได้เติบโตราว 70% ในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีอัตราส่วนรายได้สูงสุดที่ 50% จากธุรกิจโลจิสติกส์
• จัดตั้ง WHA Innovation Talent Group ปั้นแนวคิด Startup ในองค์กร
• business model ต้องดีและมีอนาคต ควบคู่กับปรับกลยุทธ์ทันเหตุการณ์จึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้

Digital Transformation คือภารกิจสำคัญที่จรีพร จารุกรสกุล ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่ง กลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA Group ต้องเร่งผลักดัน เพื่อให้องค์กรพร้อมรับมือกับการเติบโตที่รวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งมี Digital Technology สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยตั้งเป้าสร้างรายได้เติบโต 70% ในปีนี้ หลังจัดทัพให้ทั้ง Business Hub 4 ดำเนินกิจการสอดผสานกันอย่างลงตัว

จากที่ตัดสินใจหันหลังให้วิถีชีวิตลูกจ้างแล้วริเริ่มเส้นทางผู้ประกอบกิจการพลาสติกและพาเลทตั้งแต่อายุ 26 ปี ร่วมกับอดีตสามีผู้ล่วงลับ นพ. สมยศ อนันตประยูร ซึ่งด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลจึงเลือกหักเหสู่ธุรกิจบริหารคลังสินค้าและกระจายสินค้าในปี 2546 มาถึงวันนี้จรีพรผ่านบททดสอบและพิสูจน์ความเชื่อว่า การตัดสินใจเลือกสร้างศูนย์กระจายสินค้าตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (build-to-suit) เป็นแนวทางที่ถูกต้อง

จนสามารถขับเคลื่อนให้ WHA ทะยานขึ้นเป็นบริษัทมหาชนที่มีมูลค่าตลาดหลักทรัพย์กว่า 6 หมื่นล้านบาท และล่าสุดจรีพรยังเป็นผู้มั่งคั่งในอันดับที่ 35 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ 865 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.76 หมื่นล้านบาท) ท่ามกลาง 50 เศรษฐีไทยที่จัดอันดับโดย FORBES ประจำปี 2019

ปัจจุบัน WHA ดำเนินธุรกิจครอบคลุม 4 กลุ่ม (Business Hub) ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจพัฒนาโลจิสติกส์ โดย บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น 2.กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยบมจ. ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ (เดิมคือบมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน) 3. กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคและไฟฟ้าโดยบมจ. ดับบลิวเอชเอยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ 4. กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโดยบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินโฟนิท จำกัด

พัฒนาการสำคัญในช่วงที่ผ่านมาของ WHA เป็นอย่างไรบ้าง

ตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมาเราได้ปรับโครงสร้างธุรกิจโดยแบ่งเป็น 4 Business Hub ซึ่งเมื่อปีที่ผ่านมาได้ทำให้ทั้ง 4 กลุ่มสามารถดำเนินธุรกิจสอดประสานกันอย่างลงตัว แล้วจะเห็นผลอย่างชัดเจนในปีนี้

เช่นเดียวกับที่ทำงานคู่กับภาครัฐมาโดยตลอดในส่วนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (The Eastern Economic Corridor : EEC) ตลอดจนทิศทางการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce เอง ต่างก็จะส่งผลบวกกับทั้ง 4 Business Hub

ดังนั้น WHA จึงประกาศเป้าหมายการเติบโตรายได้สำหรับปีนี้ที่ 70% โดยคาดว่าจะมีอัตราส่วนรายได้สูงสุดที่ 50% จากโลจิสติกส์ ตามมาด้วยนิคมอุตสาหกรรมที่ 29% สาธารณูปโภคและไฟฟ้า 19% และดิจิทัลที่ 1%

นอกจากตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างโดดเด่นแล้ว ยังเป็นปีแห่งการทำ Digital Transformation ภายในองค์กร เพื่อรองรับทิศทางของ Digital Technology ซึ่งจะช่วยให้ทั้ง 4 กลุ่มพัฒนาไปเหนือกว่าแค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน”

มีการปรับตัวเพื่อรองรับ Digital Technology อย่างไร

ในส่วนนี้คงไม่ได้ปรับพร้อมกันทั้งหมด แต่ต้องค่อย ๆ ปรับไป ซึ่งเริ่มมีการพูดคุยกับกลุ่มลูกค้าของเราบ้างแล้ว เช่นในส่วน Smart Logistics ว่าจะเริ่มจากเทคโนโลยีใดได้ก่อน ไม่ว่าจะในส่วน Robotics AI (Artificial Intelligence) หรือ IoT (Internet of Things) ซึ่งเรื่องของจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็สำคัญต่อต้นทุนด้วยเช่นกัน

จากที่ไปดูงานในต่างประเทศเองทั้งญี่ปุ่นหรือจีนก็ต่างค่อย ๆ ทยอยปรับ แต่ในส่วนเทคโนโลยีภายในคลังสินค้าก็ลำหน้ากว่าเราไปสัก 4 ปีได้แล้ว จริง ๆ เมืองไทยเองก็มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีที่สามารถทำได้ทันที เพียงแต่ก่อนนี้ต้นทุนการดำเนินงานยังไม่ได้สูงมาก แต่ที่ในวันนี้ต้องปรับเปลี่ยนเพราะต้นทุนเริ่มสูงและต้องการความเร็วมากขึ้น

ในแง่ของนิคมอุตสาหกรรมก็กำลังเตรียมเดินหน้าสู่ Smart Industrial Estate (เมืองอุตสาหกรรมอัจฉริยะ) ที่ตอนนี้เริ่มนำเทคโนโลยีที่ควบคุมการทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือมาใช้ ขณะที่ในกลุ่มธุรกิจบริการสาธารณูปโภคและพลังงานเองก็เริ่มทดสอบระบบ Smart Manufacturing แล้ว ซึ่งกำลังมองว่าจะใช้ Drone มาช่วยในการทำงานอีกหลาย ๆ เรื่องด้วย

ลูกค้ากลุ่มธุรกิจใดที่จะเริ่มใช้พวกเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก่อน

พวก e-Commerce น่าจะเริ่มก่อน เช่น บริษัท Cainiao ที่อยู่ในเครือ Alibaba Group

WHA มี โครงการใหม่อะไรบ้างในปีนี้

ปีนี้เราเพิ่งเปิดตัวนิคมอุตสาหกรมแห่งที่ 10 ในเมืองไทย (นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 หรือ WHA ESIE 3) ซึ่งโครงการตั้งอยู่ที่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ที่มีพื้นที่กว่า 2,000 ไร่

โดยเราทำข้อตกลงกับลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยางรถยนต์รายใหญ่จากประเทศจีนไปแล้ว ซึ่งเฉพาะโครงการนี้สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนถึง 3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามคาดว่าด้วยนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 10 นี้จะดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ราว 1.5 แสนล้านบาทภายใน 4-5 ปีนับจากนี้

“กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมเป็นด่านแรกที่จะดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้เฉพาะที่ขายไปแล้ว 3 หมื่นไร่ก็มีมูลค่าการลงทุนถึง 1.1 ล้านล้านบาท”

บทบาทของ WHA ต่อโครงการ EEC ว่าคืบหน้าอย่างไรมาก

บทบาทที่เด่นชัดคือ เราเป็นตัวกลางระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มาลงทุน โดยเราส่งข้อความและความต้องการจากนักลงทุนให้ภาครัฐรับรู้ว่าต้องการสนับสนุนเรื่องใด เพื่อให้สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในเมืองไทยได้ ซึ่งนับว่าเป็นบทบาทที่เราทำออกมาได้ดี

เราเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมที่ผลักดันให้ EEC เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่แค่เราที่ได้ประโยชน์แต่ทั้งประเทศต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน จึงมองว่า EEC เป็นนโยบายที่ดีมาก ๆ หากรัฐบาลใหม่มาก็ต้องขอให้ทำต่อเนื่องไป

Digital Transformation ของ WHA เป็นอย่างไร

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า อาจมีธุรกิจบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูก disrupt แต่เรามองว่าดิจิทัลเทคโนโลยีส่งเสริมธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มของเรา ยกตัวอย่างเช่นการทำธุรกิจ e-Commerce ที่อาจไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านแต่ต้องมีโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งไม่เช่นนั้นอาจทำให้พังได้ นั่นคือแม้จะขายของได้แต่ถ้าส่งสินค้าผิดหรือมีบริการที่ไม่ดีก็ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ เช่นเดียวกับที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในนิคมอุตสาหกรรมก็ยิ่งมีความต้องการใช้พื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ มากขึ้นตามไปด้วย

“ไม่ได้มองว่า Digital จะมา disrupt แต่มองว่ามาส่งเสริมให้ธุรกิจของเราโตเร็วกว่าเดิม”

สำหรับแนวทาง Digital Transformation ของ WHA คือการปรับเปลี่ยนคนให้สามารถรองรับกับแนวทางดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยต้องเริ่มจากกำหนดโจทย์ที่ถูกต้องก่อนว่าต้องการทำอะไรบ้างกับองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะแม้จะปรับเรื่องภายนอกให้รองรับดิจิทัลเทคโนโลยีได้แต่ถ้าภายในปรับตัวไม่ได้ก็ถือว่าล้มเหลว จึงต้องปรับไปพร้อม ๆ กันเพียงแต่ต้องใช้เวลาเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนองค์กรจะเริ่มลงมือปฏิบัติจริงช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งคิดว่าคนของเราพร้อมในเรื่องพวกนี้แล้ว ซึ่งคาดว่าไม่เกิน 2 ปีนับจากนี้ก็จะเริ่มเห็นภาพการเปลี่ยนที่ชัดเจน

mindset เป็นจุดที่ยากที่สุดสำหรับทุกอย่างไม่ใช่เฉพาะ Digital Transformation แต่พี่ไม่ท้อเพราะพูดเรื่องนี้ในองค์กรมา 3 ปีแล้ว

ปัจจุบัน WHA มีความร่วมมือกับกลุ่ม Startup อย่างไรบ้าง

ในแง่ของตัวบริษัทเราไม่ได้ไปลงทุนกับ Startup ด้วยการใส่เงินผ่าน Venture Capital Fund หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุน แต่มองว่าจะเชื่อมโยงธุรกิจของเรากับกลุ่ม Startup ได้อย่างไร ซึ่งหากมีกิจการใดที่ดูมีความเป็นไปได้โดยเริ่มทดลองจากพัฒนาขึ้นภายในบริษัทเราก่อน ก็จะชวนให้ทำธุรกิจร่วมกันแล้วก็ขอเข้าไปถือหุ้นในบริษัทนั้น ๆ ด้วย โดยจะมี CEO Office คอยทำหน้าที่ค้นหา Startup

อย่างไรก็ตามการไปทำงานกับ Startup ไม่ได้เน้นเรื่องลงทุนแล้วให้เกิดผลตอบแทนงอกเงยขึ้นมา แต่มองถึงการได้ไปหาความรู้จากนวัตกรรมต่าง ๆ ที่พัฒนาโดย Startup มากกว่า

“มี Startup มาคุยด้วยหลายราย แม้ตัวเราไม่รู้เรื่องเทคโนโลยี แต่รู้ว่าจะใช้หาเงินได้อย่างไร”

ในฐานะผู้นำองค์กรในปัจจุบันคิดว่าอะไรคือโจทย์สำคัญสูงสุด

องค์กรเปลี่ยนไปตลอดเวลาไม่เคยจะหยุดนิ่ง ดังนั้นผู้นำองค์กรจึงต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลงและรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงจะสามารถนำองค์กรไปได้ถูกทาง และไม่ถูก disrupt

อย่าหยุดนิ่ง อย่าหยุดการเรียนรู้ เพราะหากเป็นผู้นำองค์กรแล้วหยุดเรียนรู้ เท่ากับคุณกำลังพาองค์กรถอยหลัง

จากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้เรียนรู้อะไรที่ต่างจากเดิมบ้าง

เรียนรู้ว่าทุกองค์กรปรับเปลี่ยนได้ แต่ก็มีทั้งคนที่ยอมปรับและไม่ยอมปรับ โดยเรามีการคัดเลือกทีมงานระดับ middle management ขึ้นไปและมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเข้ากลุ่มที่เรียกว่า WHA Innovation Talent Group ซึ่งจะมีการฝึกอบรมและมอบหมายโครงการพิเศษให้ทำ ที่อาจมาจากทั้งที่กลุ่มพนักงานเสนอขึ้นมาเองหรืออาจจะได้รับมอบหมายให้ทดลองทำขึ้นมาก็ตาม เปรียบเหมือนสร้าง Startup ในบริษัท ที่ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลหรืององค์ความรู้ต่าง ๆ ตลอดจนนับการทำโครงการพิเศษเหล่านนี้ให้เป็นเวลางานปกติแล้วยังนับเป็นผลงานด้วย

อะไรคือ secret sauce ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

สำคัญที่สุดคือ business model ต้องดีและมีอนาคต ซึ่งผู้นำองค์กรต้องรู้ว่าจะพัฒนาต่อไปอย่างไร ต้องมองให้ขาด และวางกลยุทธ์ให้ชัดเจน เพียงแต่ทุกวันนี้ต้องปรับให้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง แล้วต้องเปลี่ยนไวขึ้นมาก ๆ

คุณอยู่ในโลกใบเก่าที่ไม่ใช่ใบเดิมทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว