รู้จักกับเวลา ‘Dead Zone’ พนักงานหยุดทำงานไปทำธุระส่วนตัว บริษัทจะทำยังไงดี

หลังจากรูปแบบการทำงานในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป บางบริษัทใช้วิธี Hybrid work หรือบางที่ก็ Work from Anywhere การทำงานในรูปแบบใหม่นี้ทำให้เวลาทำงานของพนักงานเปลี่ยนแปลงไปด้วย หัวหน้างานเผยกับ The Wall Street Journal ว่าในช่วง 16.00 - 18.00 น. จะเป็นเวลาที่พนักงานหยุดทำงาน และออกไปทำธุระส่วนตัว หลังจากนั้นจึงกลับมาทำงานที่เหลือต่อหลังเวลาเลิกงานไปแล้ว

ช่วงเวลานี้เรียกว่า ‘Dead Zone’ คือ ช่วงที่การทำงานหยุดลง ทุกอย่างหยุดนิ่ง พนักงานต่างเหนื่อยล้าจาการทำงานมาทั้งวัน จึงใช้เวลาช่วงนี้ออกไปทำธุระหรือพักผ่อนก่อนที่จะกลับมาทำงานให้เสร็จ 

Dead Zone กำลังบอกอะไรกับองค์กร

Dead Zone เป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสนใจ มันเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าพนักงานของคุณต้องการ Work-life balance ที่ดีกว่านี้ และถ้าองค์กรไม่เร่งปรับตัวอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความพึงพอใจของพนักงาน และความสำเร็จโดยรวมขององค์กร โดยมี 2 สิ่งที่องค์กรจำเป็นต้องให้ความสนใจ ดังนี้

1. พนักงานขาด Work-life balance: การที่พนักงานบางส่วนหายไปจากการทำงานในช่วง Dead Zone ซึ่งเป็นเวลาใกล้เลิกงานเพื่อไปทำธุระส่วนตัว มันสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานกินเวลาส่วนตัวมากเกินไป จนพนักงานเหล่านี้ไม่มีแม้กระทั่งเวลาไปจัดการธุระส่วนตัว

บริษัท InFeedo แพลตฟอร์มนายหน้าจัดหางานของอินเดียได้สำรวจความเห็นของคนรุ่นใหม่พบว่า คนรุ่นใหม่เหล่านี้อยากให้บริษัทสร้าง Work-life balance ที่ดีกว่านี้ อย่างการลดเวลาทำงานจาก 8 ชั่วโมง/วัน เหลือ 5 ชั่วโมง/วัน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาออกไปใช้ชีวิตส่วนตัวบ้าง

2. พนักงานอยากมี Flexible working hours: หลังจากที่พนักงานหยุดทำงานไปในช่วง Dead Zone และกลับมาทำต่อหลังเลิกงาน เป็นจุดที่เห็นได้ชัดว่า ความ Productive ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเวลางาน ซึ่งการวิจัยของ Microsoft พบว่าก่อนหน้านี้จะมีเวลา 2 ช่วงที่พนักงาน Productive มาก ๆ คือ 11:00 และ 15:00 และการค้นพบล่าสุดคือในช่วง 22:00 เวลาเหล่านี้เรียกว่า Triple peak day

นอกจากนี้การเอาเวลาใกล้เลิกงานมาทำธุระส่วนตัว เช่น พนักงานที่มีลูกใช้ช่วงเวลา Dead Zone เพื่อออกไปรับลูก เพราะเวลาเลิกงานกับเวลาเลิกเรียนคาบเกี่ยวกันพวกเขาจึงต้องเลิกงานเร็วขึ้นเพื่อไปรับลูกให้ทัน ทำให้เห็นว่า พนักงานแต่ละคนมีภาระหน้าที่ในชีวิตส่วนตัวแตกต่างกัน การทำงานในช่วงเวลาเดียวกันอาจไม่ตอบโจทย์ทุกคน

และถ้าหากออฟฟิศอยู่ในกรุงเทพ พนักงานหลายคนต้องเจอกับรถติดในช่วงที่ออฟฟิศหลายแห่งเลิกงานพร้อมกัน พวกเขาจึงเลือกกลับบ้านก่อนเวลางานเพื่อเลี่ยงรถติด

ดังนั้น พนักงานส่วนมากจึงอยากให้บริษัทมี Flexible working hours เพราะพนักงานแต่ละคนมีความ Productive ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน มีภาระหน้าที่แตกต่างกัน รวมถึงการเลิกงานตามเวลาออฟฟิศทั่วไปก็ต้องไปเจอกับรถติด ล้วนเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจและทำร้ายสุขภาพจิต

การฝืนให้ทุกคนทำให้งานในช่วงเวลาเดียวกันจึงอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและผลลัพธ์ของงานที่อาจจะไม่ดี 100% 

องค์กรจะทำอะไรได้บ้าง ?

Mary Czerwinski นักวิจัยของ Microsoft เน้นย้ำว่าพนักงานทุกคนมีภูมิหลังและภาระที่แตกต่างกัน  การให้อิสระพวกเขาเลือกเวลาทำงานที่พวกเขา Productive และไม่กระทบชีวิตส่วนตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรควรสนับสนุนและช่วยเหลือ

ซึ่ง Flexible working hours ก็อาจเป็นแนวทางที่นอกจากจะช่วยให้พนักงานเลือกทำงานในเวลาที่กระตือรือร้นมากที่สุดแล้ว อาจจะเป็นการปรับช่วงเวลาในการทำงานให้เข้ากับชีวิตส่วนตัวของพนักงานแต่ละคนได้ เพื่อเป็นการสร้าง Work-life balance ที่ดีขึ้น 

ด้วยการให้พนักงาน เลือกช่วงเวลาทำงานที่เหมาะกับตัวเอง โดยบริษัทจะกำหนดให้ทำงาน 8 ชม./วัน พนักงานสามารถเลือกช่วงเวลาที่เหมาะกับตัวเองได้ ดังนี้

  • Early bird มนุษย์ตื่นเช้า ไปเร็วกลับเร็ว เลี่ยงรถติด อาจเลือกช่วง 7.00 – 15.00 น. 

  • Night owl มนุษย์ค่ำคืน สมองแล่นตอนดึก ขี้เกียจตื่น อาจเลือกช่วง 10.00 – 18.00 น.

การทำแบบนี้พนักงานก็จะสามารถจัดการงานให้เสร็จในช่วงที่พวกเขาพร้อมจะทำงาน ซึ่งทำให้ผลลัพธ์ของงานออกมาดี และมีเวลาไปจัดการชีวิตส่วนตัว 

อ้างอิง: businessinsider, businessinsider

ถึงเป็นธุรกิจเล็ก วัฒนธรรมองค์กรก็สำคัญ
เริ่มเปลี่ยนวันนี้ก่อนสาย

.
หากองค์กรของคุณกำลังเจอปัญหา … พนักงานหมดไฟ…ทุกการตัดสินใจล่าช้าเพราะต้องรอ CEO … พนักงานลาออกเยอะ แต่ไม่รู้สาเหตุ และอีกมากมายปัญหาในองค์กรที่คุณแก้ไม่ตก
.
Peoplesauce ช่วยธุรกิจ SMEs /Startups ที่กำลัง Scale up สร้าง “คน” และ“Culture” เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

เริ่มเปลี่ยนไปพร้อมกับเราได้ตั้งแต่วันนี้ที่

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

แพง...แต่ทำไมใครๆ ก็ยอมจ่าย? เบื้องหลังความสำเร็จของ Garmin "ไม่สู้ตรงๆ แต่ชนะขาด"

เจาะลึกกลยุทธ์ธุรกิจของ Garmin ที่พลิกชะตาจากวิกฤตการณ์สมาร์ทโฟน สู่การเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทวอทช์เฉพาะทาง อ่านบทเรียนการปรับตัวครั้งสำคัญที่ไม่สู้ตรงๆ แต่กลับชนะขาด และสร้างการเติบโต...

Responsive image

Duolingo ใช้ AI เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เร่ง Productivity โดยไม่ลดคน

Duolingo ใช้ AI ขับเคลื่อน Culture Transformation เปลี่ยนวิธีทำงาน เพิ่ม Productivity ได้มากขึ้น 5 เท่า โดยไม่ต้องปลดพนักงานสักคนเดียว...

Responsive image

เรียนจบใหม่แต่ไม่มีที่ให้เริ่ม เพราะ AI แย่งจุดเริ่มไปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในองค์กรยุคใหม่

AI กำลังเปลี่ยนโลกการทำงาน โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่หายไปกว่า 35% ทำให้คนรุ่นใหม่ขาดโอกาสเริ่มต้นอาชีพ คำถามคือ เราจะออกแบบบันไดอาชีพแบบใหม่อย่างไรให้ทุกคนยังมีพื้นที่เติบโต ...