รู้จักภาวะหมดไฟ 3 ประเภทจากนักจิตวิทยา คุณกำลังเป็นแบบไหน | Techsauce

รู้จักภาวะหมดไฟ 3 ประเภทจากนักจิตวิทยา คุณกำลังเป็นแบบไหน

ภาวะหมดไฟ (Burnout)ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าทั่วไป แต่มันเป็นภาวะที่ซับซ้อนกว่านั้น มันเกิดขึ้นเมื่อเราฝืนตัวเองเกินขีดจำกัดเป็นเวลานาน จนร่างกายและจิตใจแทบไม่เหลือพลัง แต่ที่น่ากลัวกว่าคือแม้จะรู้สึกเหนื่อยแค่ไหน กลับหยุดไม่ได้และถ้าวันไหนหยุดก็จะรู้สึกผิดขึ้นมาทันที

หลายคนอาจเข้าใจว่า "เหนื่อย" กับ "หมดไฟ" เป็นเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วมันต่างกันมาก ความเหนื่อยเกิดขึ้นเมื่อเราใช้พลังงานไปจนหมด แล้วต้องการพักเพื่อฟื้นฟู แต่การหมดไฟคือการที่เราฝืนตัวเองให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่พลังงานหมดไปนานแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นวัน สัปดาห์ หรืออาจเป็นปี ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว

ที่สำคัญภาวะหมดไฟไม่ได้มีแค่แบบเดียว นักจิตวิทยาพบว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ซึ่งแต่ละแบบมีสาเหตุและผลกระทบที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าคุณกำลังเผชิญกับแบบไหน และจะมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง

1. หมดไฟเพราะ "งานล้นมือ"

เคยรู้สึกเหมือนต้องแบกงานเยอะๆ ไหม? งานกองเต็มโต๊ะแต่ไม่มีแรงแม้แต่จะทำ หรือบางครั้งก็ผัดวันประกันพรุ่งจนทุกอย่างรุมเข้ามาพร้อมกัน ถ้าใช่นี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะหมดไฟจาก "งานล้นมือ"

ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อคุณรับภาระและความคาดหวังมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นงานที่ล้นมือ เป้าหมายที่สูงเกินไป หรือแรงกดดันจากตัวเองและคนรอบข้าง ยิ่งถ้าเป็นงานที่เราไม่ถนัด ยิ่งจะทำให้รู้สึกแเข้าไปใหญ่ เพราะถึงแม้เจ้านายจะมองว่าเราขยัน แต่จริงๆ แล้วมันกำลังทำร้ายเราไปทีละนิด

งานวิจัยในวารสาร Anxiety, Stress, & Coping ปี 2013 พบว่าการทุ่มเทให้กับงานจนเกินพอดีจะทำให้เรามีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

สัญญาณที่ควรระวัง

  • เหนื่อยล้า แม้จะพักแล้วก็ยังไม่สดชื่น
  • หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียง่ายกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
  • โฟกัสงานได้ไม่นาน ประสิทธิภาพเริ่มลดลง

วิธีรับมือ

  • ตั้งขอบเขตให้ตัวเอง กล้าปฏิเสธงานที่เกินกำลัง
  • จัดลำดับความสำคัญ เลิกแบกทุกอย่างไว้คนเดียว
  • ให้เวลากับตัวเอง หาเวลาพัก เติมพลังให้สมองและร่างกาย

ซึ่งอาการนี้หากปล่อยไว้นานเกินไป ไม่ใช่แค่งานที่เสีย แต่ความสัมพันธ์และคุณภาพชีวิตก็อาจพังไปด้วย ซึ่งอย่ารอให้ถึงจุดนั้น ลองหาวิธีและปรับสมดุลการใช้ชีวิตดู 

2. หมดไฟเพราะ "พลังงานหมด"

ลองนึกภาพคุณพ่อคุณแม่ที่เคยเล่านิทานให้ลูกฟังหรือเล่นกับลูก แต่ตอนนี้แค่เตรียมข้าวกล่องให้ลูกยังรู้สึกเหนื่อย นั่นแหละคืออาการหมดไฟแบบ "พลังงานหมดเกลี้ยง"

อาการนี้เกิดจากความเหนื่อยสะสมจนเราไม่เหลือพลังงานอะไรอีกแล้ว เหมือนกับแบตเตอรี่ที่หมดเกลี้ยง ไม่ว่าจะพยายามชาร์จยังไงก็ไม่เต็ม ภาวะหมดไฟแบบนี้ไม่ได้เกิดจากงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงภาระจากชีวิตส่วนตัว เช่นการเป็นพ่อแม่ที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง หรือการดูแลสมาชิกในครอบครัวจนไม่มีเวลาพัก ความเครียดที่สะสมจากการทำหน้าที่ต่างๆ โดยไม่มีเวลาฟื้นฟูตัวเอง ทำให้พลังงานค่อยๆ หมดไปอย่างช้าๆ จนไม่มีแรงจูงใจ และอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาว

สัญญาณที่ควรระวัง

  • รู้สึกเหมือนต้องฝืนใช้ชีวิตทุกวัน
  • อารมณ์ด้านชา ไม่รู้สึกดีใจหรือเสียใจอย่างที่เคย
  • มีอาการปวดหัว นอนไม่หลับ

วิธีรับมือ

  • อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ 
  • จัดสรรเวลาพักบ้าง 
  • หากิจกรรมที่เติมพลังให้ตัวเอง

3. หมดไฟเพราะ "ไม่เจอคุณค่าในสิ่งที่ทำ"

เคยรู้สึกไหมว่าสิ่งที่เราทำมันไม่ตอบโจทย์ชีวิต หรือมันไม่ตรงกับสิ่งที่เราเชื่อ? นั่นคืออาการหมดไฟแบบ "ไม่เจอคุณค่าในสิ่งที่ทำ"

ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่เราทำไม่ตรงกับค่านิยมหรือความเชื่อของตัวเอง หรือรู้สึกว่ากำลังถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง คนรุ่นใหม่หลายคนเริ่มให้ความสำคัญกับคุณค่าและความหมายในชีวิตมากกว่าเงินเดือน ถ้างานที่ทำไม่ตอบโจทย์ตรงนี้ จะทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังติดอยู่ในวังวนที่ไม่อยากอยู่

ภาวะนี้จะทำให้เราหงุดหงิด เบื่อหน่าย ไม่มีเป้าหมาย หากมันสะสมไปนานๆ มันจะส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองและสุขภาพจิตได้

ซึ่งในงานวิจัยปี 2022 จาก International Journal of Engineering Business Management พบว่า คนเจน Z ในเวียดนามให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรมากกว่าค่าตอบแทน หากงานที่ทำไม่ตรงกับคุณค่าเหล่านี้ พวกเขาจะรู้สึกหมดไฟเร็วขึ้น

สัญญาณที่ควรระวัง

  • รู้สึกเหมือน "ติดกับดัก" กับงานหรือชีวิตที่เป็นอยู่
  • สูญเสียแรงจูงใจ ไม่มีเป้าหมาย
  • หดหู่ เครียดง่าย

วิธีรับมือ

  • ลองพิจารณาว่าสิ่งที่ทำอยู่ยังตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตหรือไม่ หากไม่ใช่อาจถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยน หรือมองหาสิ่งที่เติมเต็มคุณได้

ภาวะหมดไฟไม่ใช่แค่เรื่องของงาน แต่เป็นเรื่องของ “การบาลานซ์ชีวิต” หากคุณเริ่มรู้สึกเหนื่อย ไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ หรือรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งบนลู่วิ่งที่ไม่มีวันจบ นี่อาจเป็นสัญญาณให้คุณต้องหยุดและถามตัวเองว่า

  • กำลังใช้ชีวิตตามที่ต้องการจริงๆ หรือเปล่า?
  • ให้เวลากับตัวเองมากพอหรือไม่?
  • สิ่งที่ทำยังทำให้มีความสุขอยู่ไหม?

หากคำตอบคือ “ไม่” อาจถึงเวลาที่ต้องปรับเส้นทาง ก่อนที่ภาวะหมดไฟจะกลืนกินคุณไปทั้งชีวิต

จำไว้ว่าภาวะหมดไฟมีหลายรูปแบบการที่เราเข้าใจสัญญาณของมันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เราป้องกันไม่ให้มันลุกลามได้ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่โอเคจงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและหาสิ่งที่มันใช่สำหรับคุณจริงๆ

อ้างอิง: forbes

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

4 สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณกำลัง 'ทุ่มเท' ให้กับงานมากไป

ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลัง "ทุ่มเท" ให้กับงานมากเกินไปได้และมันอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด สำหรับคนที่ตั้งใจทำงาน อยากทำให้ดีที่สุด การ "ทุ่มเท" ให้งานมัน...

Responsive image

คนรุ่นใหม่แกล้งยุ่ง ต้านคำสั่งกลับเข้าออฟฟิศ ด้วยเทรนด์ "Task Masking"

Task Masking คือการแกล้งทำเป็นยุ่ง เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำงานหนักในออฟฟิศ ทั้งที่จริง ๆ แล้วประสิทธิภาพหรือปริมาณงานที่ทำอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย เทรนด์นี้ถูกพูดถึงอย่างมากใน TikTo...

Responsive image

“ตั้งคำถามให้เป็น” ทักษะที่ Sam Altman ชี้ว่าสำคัญที่สุดในยุค AI

Sam Altman ซีอีโอ OpenAI ชี้ว่าทักษะสำคัญในยุค AI ไม่ใช่แค่ 'รู้เยอะ' แต่ต้อง 'รู้จักตั้งคำถาม' เพราะการตั้งคำถามที่ดี จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูล เชื่อมโยงความคิดและสร้างนวัตกร...