
หากทีมของคุณไม่สามารถเดินหน้าต่อได้เมื่อไม่มีคุณอยู่ด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีทีม แต่กำลังสร้าง ‘ภาวะพึ่งพิง’ (Dependency) โดยไม่รู้ตัว ผู้นำจำนวนมากมักตกอยู่ในกับดักของการสับสนระหว่าง ‘การสนับสนุน’ กับ ‘การแบกทีม’ พวกเขากระโจนเข้าไปแก้ปัญหาทุกอย่าง ตอบทุกคำถาม และจัดการทุกเรื่องด้วยตัวเอง ซึ่งดูเผินๆ เหมือนเป็นผู้นำที่ทุ่มเท แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือการสร้างคอขวดที่ขัดขวางการเติบโตของทั้งทีมและองค์กร
เป้าหมายสูงสุดของผู้นำ ไม่ใช่การเป็นคนที่ฉลาดหรือเก่งที่สุดในห้อง แต่คือการสร้างทีมที่เต็มไปด้วยบุคลากรที่สามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา และตัดสินใจได้ด้วยตนเอง การเปลี่ยนบทบาทจากผู้แก้ปัญหามาเป็นโค้ช จึงเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำยุคใหม่ ที่จะช่วยให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืนโดยที่คุณไม่ต้องหมดไฟไปเสียก่อน และนี่คือ 5 แนวทางที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้
เมื่อทีมงานเดินเข้ามาพร้อมคำถามว่า ‘เรื่องนี้ต้องทำอย่างไร?’ สัญชาตญาณแรกของผู้นำคือการให้คำตอบที่เร็วและดีที่สุด แต่พฤติกรรมนี้กลับเป็นการสร้างนิสัยรอคำสั่ง แทนที่จะให้คำตอบทันที ลองเปลี่ยนเป็นการถามคำถามที่ทรงพลังกลับไป เช่น ‘คุณลองคิดหาทางเลือกอะไรไว้บ้าง?’ ‘ถ้าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ คุณจะตัดสินใจทำอะไร?’ หรือ ‘อะไรคือขั้นตอนแรกที่คุณคิดว่าจะทำได้เลย?’ วิธีนี้ไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบ แต่เป็นการกระตุ้นให้ทีมได้ฝึกการตัดสินใจ ทุกครั้งที่คุณโค้ชให้พวกเขาคิดหาทางออกเอง คือการสร้างความมั่นใจและขีดความสามารถที่จะคงอยู่กับพวกเขาไปตลอด
ผู้จัดการที่ดีอาจเก่งเรื่องการตามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ผู้นำที่ยอดเยี่ยมจะมองไปไกลกว่านั้นด้วยการสร้างระบบป้องกันปัญหาแต่เนิ่นๆ ลองใช้เวลาทบทวนและถอดรหัสกระบวนการคิดของคุณออกมาเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการตัดสินใจ, ชุดคำถามที่ต้องตอบก่อนเริ่มโปรเจกต์, หรือรูปแบบของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แล้วเปลี่ยนองค์ความรู้ในหัวเหล่านั้นให้กลายเป็นเฟรมเวิร์กที่จับต้องได้ เช่น Checklist, Decision Tree, หรือคู่มือการทำงาน เพราะตราบใดที่มันยังอยู่ในหัวของคุณ มันก็เป็นเพียงนิสัยส่วนตัว แต่ทันทีที่มันถูกเขียนออกมา มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งทีม
ผู้นำหลายคนติดกับดักของการเข้าไปจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ (Micromanage) ในวิธีการทำงานของทีม ซึ่งเป็นการบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์และความเป็นเจ้าของในงาน หากสมาชิกในทีมสามารถทำงานได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายถึง 90% ด้วยสไตล์ของพวกเขาเอง นั่นคือชัยชนะที่ควรค่าแก่การชื่นชม งานของคุณคือการปรับจูนในส่วนที่ขาดเหลือ ไม่ใช่การบังคับให้ทุกคนทำงานเหมือนคุณทุกกระเบียดนิ้ว เพราะเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การสร้างร่างโคลน ของตัวคุณเอง แต่คือการสร้างขีดความสามารถที่หลากหลายภายในทีม
การเป็นโค้ชไม่ได้หมายความว่าคุณต้องปล่อยให้ทีมเผชิญชะตากรรมตามลำพัง แต่คือการสร้างโครงสร้างและระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่ง กำหนดการเช็กอินความคืบหน้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตั้งค่า KPI ที่วัดผลจากผลลัพธ์ ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่ใช้ไป และเปิดช่องทางให้ทีมถามคำถามได้เสมอ แต่ต้องมาพร้อมกับเงื่อนไขว่าพวกเขาต้องเตรียมทางออกที่คิดไว้ มานำเสนอด้วย เมื่อคุณวางระบบที่ชัดเจนแล้วถอยออกมาหนึ่งก้าว ทีมจะเรียนรู้ที่จะก้าวขึ้นมารับผิดชอบงานของตัวเองมากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเป็นคนที่ทุกคนพึ่งพาและมีคำตอบให้ทุกอย่างนั้นทำให้รู้สึกดีและมีคุณค่า แต่นี่คือกับดักฮีโร่ที่อันตรายที่สุด หากธุรกิจต้องพึ่งคุณในการตัดสินใจทุกเรื่อง คุณก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากงานที่ล้นมือ และที่สำคัญกว่านั้น ทีมของคุณก็จะไม่มีวันเติบโตได้ถึงศักยภาพสูงสุด โค้ชที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้มองหาถ้วยรางวัลสำหรับตัวเอง แต่พวกเขามีความสุขกับการสร้าง ‘แชมเปี้ยน’ ขึ้นมาประดับทีม
ท้ายที่สุดแล้ว หน้าที่ของผู้นำไม่ใช่การทำทุกอย่างให้มากขึ้น แต่คือการทำให้ทุกคนรอบตัวเก่งขึ้น การโค้ชชิ่งคือจุดคานงัดที่จะเปลี่ยนภาวะผู้นำจากการตั้งรับไปสู่การเติบโตแบบทวีคูณ ดังนั้น ครั้งหน้าที่คุณอยากจะพุ่งเข้าไปแก้ปัญหาให้ทีม ลองหยุดถามตัวเองสักนิดว่า ‘นี่คืองานที่ต้องทำให้เสร็จ หรือนี่คือโอกาสในการโค้ช?’ เพราะคำตอบของคุณจะเป็นตัวตัดสินว่าคุณกำลังสร้างแค่ To-do list หรือกำลังสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างแท้จริง
ที่มา: Inc.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด