ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนผู้จดทะเบียนการใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ 854 ล้านเลขหมาย ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งหมดรวมกันด้วยซ้ำ สิ่งนี้กำลังหมายความว่า
ธุรกิจทุกอย่างควรจะมีแอปพลิเคชันบนมือถือเป็นของตัวใช่หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไป แม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน แต่ว่าแอปพลิเคชันบนมือถือนั้น เหมาะกับธุรกิจบางกลุ่มเท่านั้น เช่น ธุรกิจแฟชั่น ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกค้นพบและผู้บริโภคมีความถี่ที่จะใช้จ่ายกับสินค้าในหมวดนี้สูง
ภาพจาก Deloitte
แอปพลิเคชันมือถือยังถูกนำไปใช้ในแวดวงการตลาดด้วย เช่น การส่งการแจ้งเตือน (Push Notification) เช่น หากธุรกิจที่มีหน้าร้านต้องการจับกลุ่มผู้ที่เปิดฟังก์ชันแสดงพิกัดพื้นที่ (Location Finder) บนมือถือ ก็สามารถส่งส่วนลดสำหรับสาขาที่อยู่ใกล้ที่สุดไปให้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าร้านของตนได้
และหากธุรกิจของคุณสามารถใช้แอปพลิเคชันมือถือให้เป็นประโยชน์ได้ ด้านล่างนี้เป็นข้อมูลที่ควรทราบ ก่อนที่จะตัดสินใจสร้างแอปพลิเคชันของคุณขึ้นมา
แอปพลิเคชันแบบ Native นั้น ต้องพัฒนาขึ้นมาเฉพาะ โดยสร้างขึ้นมาแยกกันระหว่างระบบปฏิบัติการ iOS และ Android แต่แอปพลิเคชันแบบ Hybrid ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในกรอบที่ทำให้สามารถทำงานได้ทั้งบนเครื่องที่ใช้ iOS และ Android
การที่จะเลือกว่าจะใช้แอปพลิเคชันแบบไหนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจ และขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ซึ่งในเรื่องนี้ eIQ ได้พูดคุยกับคุณ Mandy Arbilo Regional Project Manager ที่ aCommerce ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟีเจอร์และข้อแตกต่างหลักๆ ของแอปพลิเคชันแบบ Native และ Hybrid
ระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา : 3 – 4 เดือนต่อแพลตฟอร์ม (iOS หรือ Android) ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา : 30,000 – 35,000 ดอลลาร์ต่อแอปพลิเคชัน
เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีความต้องการที่จะใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ เช่น Google Maps รวมถึงแพลตฟอร์มสำหรับการจ่ายเงินอย่าง Samsung Pay, Android Pay หรือ Apple Pay นอกจากนี้ยังเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้ฟังก์ชันอื่นๆ อย่างการค้นหาที่ตั้งร้านค้า การนำทาง เนื่องจากแอปพลิเคชันแบบ Native จะสามารถทำงานได้แม่นยำและเสถียรกว่าในการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันภายนอกอื่นๆ
สิ่งที่ควรรู้ : บางแบรนด์เลือกที่จะสร้างแอปพลิเคชันสำหรับ iOS ก่อนเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้งาน Apple ซึ่งมีกำลังซื้อมากกว่า โดยคนกลุ่มดังกล่าวมักใช้จ่ายบนแอปพลิเคชันมากกว่าผู้ใช้งาน Android ถึง 2.5 เท่า แต่หากแบรนด์ต้องการจะจับกลุ่มลูกค้าที่กว้างกว่า การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ Android จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาพจาก Deloitte
ตัวอย่างของแอปพลิเคชันแบบ Native
ระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา : 3 เดือน ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา : 30,000 ดอลลาร์ต่อแอปพลิเคชัน
เหมาะสำหรับ : ผู้ที่กำลังมองหาตัวเลือกที่มีราคาเป็นมิตรกว่าเพื่อเริ่มต้นธุรกิจและต้องการสร้างแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้เร็วที่สุด แอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้น เป็นการสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้เงินต่ำที่สุดและมีความคุ้มทุนมากกว่าสำหรับแบรนด์ที่ต้องการจะจับทั้งกลุ่มผู้ที่ใช้งาน iOS และ Android แต่ยังมีงบประมาณไม่มากพอ
สิ่งที่ควรรู้ : วิธีที่ดีที่สุดที่จะอธิบายเกี่ยวกับแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ก็คือมันเป็นแอปพลิเคชันลูกผสมระหว่างแอปพลิเคชันแบบ Native และแอปพลิเคชันบนเว็บไซต์
ผู้ใช้งานจะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันแบบ Hybrid แบบเดียวกันกับที่ติดตั้งแอปพลิเคชันแบบ Native แต่ที่จริงแล้วแอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้น เป็นเหมือนกับก้อนเบราเซอร์ที่รวมกันอยู่ในแอปพลิเคชัน โดยคุณสามารถเพิ่มฟังก์ชันใหม่ๆ เข้าไปในแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ได้ผ่านการเขียนโค้ดเพียงภาษาเดียว
กระบวนการจึงคล้ายกับการสร้างเว็บไซต์แบบ responsive ที่ไม่ซับซ้อนนัก และความเร็วของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid นั้นจะขึ้นอยู่กับความเร็วของอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้ ในขณะที่ความเร็วของอินเทอร์เน็ตจะส่งผลต่อแอปพลิเคชันแบบ Native น้อยกว่า
WebView มีหน้าที่ในการแสดงหน้าตาของเว็บไซต์ต่างๆ และอ่าน JavaScript ซึ่ง Google และ Apple ก็ไม่ได้เปิดให้ WebView สามารถทำงานได้เหมือนกับเบราเซอร์สำหรับโทรศัพท์มือถืออย่าง Chrome หรือ Safari ดังนั้นแอปพลิเคชันแบบ Hybrid จึงไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับแอปพลิเคชันแบบ Native
Mandy กล่าวเสริมว่า “แอปพลิเคชันแบบ Hybrid ไม่สามารถปรับแต่งเพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการได้ แต่หากคุณพยายามที่จะปรับแต่งมันมากเกินไป สุดท้ายแล้วคุณอาจจะเสียเงินเท่ากับการสร้างแอปพลิเคชันแบบ Native 2 แอปพลิเคชัน”
ตัวอย่างของแอปพลิเคชันแบบ Hybrid
อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างด้านล่างได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแอปพลิเคชันแบบ Hybrid เอง ก็สามารถทำงานได้ดีเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจาก HTML5
Uber app
Mandy กล่าวว่า “หากคุณต้องการจะสร้างแอปพลิเคชันสำหรับอีคอมเมิร์ซ หรือใช้งานแพลตฟอร์มที่มีคุณภาพ และคุณมีงบประมาณที่มากพอ คุณก็ควรจะเลือกแอปพลิเคชันแบบ Native เนื่องจากมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า สามารถทำงานกับแอปพลิเคชันอื่นๆ อย่าง Google Maps ได้ดีกว่า และสามารถทำงานในขณะที่ไม่อินเทอร์เน็ตได้” และสำหรับคนที่มีงบประมาณที่น้อยกว่า การสร้างแอปพลิเคชันแบบ Hybrid ก็เป็นตัวเลือกที่ดี หากต้องการจะทดสอบศักยภาพของแอปพลิเคชันว่ามีแนวโน้มที่สมควรจะนำทรัพยากรต่างๆ มาใช้เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันแบบ Nativeหรือไม่ อย่างที่ Facebook เคยทำ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเป็นภาษาอังกฤษที่เว็บไซต์ eCommerceIQ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด