PwC เผย COVID-19 กระตุ้นให้พนักงานเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัล แต่หลายกลุ่มไม่ได้รับโอกาส | Techsauce

PwC เผย COVID-19 กระตุ้นให้พนักงานเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัล แต่หลายกลุ่มไม่ได้รับโอกาส

PwC เผยสถานการณ์โรคระบาด(COVID-19)กระตุ้นให้พนักงานเร่งพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยพนักงาน 40% เผยว่าทักษะดิจิทัลของตนเองพัฒนาขึ้นในช่วงล็อกดาวน์ แต่ผลสำรวจเผยให้เห็นความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสด้านการทำงานและฝึกฝนทักษะ

ผลสำรวจพนักงานกว่า 32,500 คน ใน 19 ประเทศ แสดงให้เห็นภาพพนักงานทั่วโลกเปลี่ยนไปทำงานจากทางไกลกันมากขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เมื่อเจาะลึกลงไปจึงพบความจริงว่า โรคระบาดทำให้ผู้ตอบแบบสำรวจ 60% รู้สึกกังวลว่าระบบอัตโนมัติทำให้คนเสี่ยงตกงาน ขณะที่ 48% เชื่อว่าการจ้างงานแบบเดิมจะไม่มีอีกต่อไปในอนาคต และ 39% คิดว่างานที่ตนเองทำจะล้าสมัยภายใน 5 ปี

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สถานการณ์แห่งความสิ้นหวัง เพราะผู้ตอบแบบสำรวจ 40% ระบุว่าได้พัฒนาทักษะดิจิทัลของตนเองในช่วงล็อกดาวน์อันยาวนาน และจะพัฒนาทักษะและฝึกฝนต่อไป ขณะที่ 77% พร้อมเรียนรู้ทักษะใหม่หรือเข้ารับการฝึกฝนซ้ำ และ 74% มองว่าการฝึกฝนทักษะเป็นความรับผิดชอบส่วนบุคคล นอกจากนี้ 80% ยังมั่นใจว่าสามารถปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานในอินเดีย (69%) และแอฟริกาใต้ (66%) ที่บอกว่า "มั่นใจมาก"   

ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจ 49% ยังให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้ประกอบการ โดยสนใจสร้างธุรกิจของตนเอง

พนักงานครี่งหนึ่งพลาดโอกาสในการทำงานหรือฝึกฝนทักษะเพราะอคติ

จากการสำรวจพบว่า พนักงาน 50% เผชิญกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ซึ่งส่งผลให้พลาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะหรือก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รายงานระบุว่า พนักงาน 13% พลาดโอกาสเพราะเชื้อชาติ และ 14% ถูกเลือกปฏิบัติเพราะเพศ โดยผู้หญิงรายงานว่าถูกเลือกปฏิบัติเพราะเพศมากกว่าผู้ชายสองเท่า นอกจากนี้ 13% ถูกเลือกปฏิบัติเพราะการศึกษา โดยผู้ที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือมีคุณสมบัติสูงจะได้รับโอกาสมากกว่า ขณะที่คนอายุน้อยและคนอายุมากต่างก็ถูกเลือกปฏิบัติเพราะอายุ

ผลสำรวจยังพบว่ามีความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสการพัฒนาทักษะ โดย 46% ของผู้สำเร็จการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรีเผยว่าได้รับโอกาสมากมายในการพัฒนาทักษะดิจิทัล ส่วนผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายมีเพียง 28% ที่ตอบเช่นนั้น และในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมากที่สุดอย่างการค้าปลีกและการขนส่ง มีเพียง 25% และ 20% ตามลำดับ ส่วนภาคธนาคารอยู่ที่ 42%

"หากรูปแบบการเข้าถึงการฝึกฝนทักษะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป การพัฒนาทักษะจะยิ่งก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทั้งที่จริงแล้วควรจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม" Bhushan Sethi ผู้นำร่วมฝ่าย People and Organization Practice ของ PwC กล่าว "รัฐบาลและผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อพยายามสร้างความมั่นใจว่า พนักงานในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงสุดจะได้รับโอกาสที่จำเป็น การเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถควบคุมการจัดการผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นได้"

คนอายุน้อยให้ความสำคัญกับรายได้สูงสุดมากกว่า "การสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่า" หากต้องเลือก

พนักงาน 3 ใน 4 ทั่วโลก (75%) ต้องการทำงานกับองค์กรที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานในจีน (87%) อินเดีย (90%) และแอฟริกาใต้ (90%)

อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจได้จำกัดความสามารถของผู้คนในการทำงานที่ใฝ่ฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนอายุน้อย โดยถ้าหากต้องเลือก 54% เลือกทำงานที่สามารถ "คว้าทุกโอกาสในการสร้างรายได้สูงสุด" มากกว่างานที่ "สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่า" (46%)

การสำรวจค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า คนอายุ 18-34 ปี มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับรายได้มากกว่าการทำประโยชน์เพื่อสังคมเมื่อเทียบกับคนรุ่นอื่น โดย 57% ให้ความสำคัญกับ "รายได้สูงสุด" มากกว่า "การสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่า" (43%) โดยนำอยู่ 14 จุด ส่วนคนอายุ 55 ปีขึ้นไปให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่ามากกว่า โดยนำอยู่ 8 จุด และคนอายุ 65 ปีขึ้นไปให้ความสำคัญกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีคุณค่ามากกว่าเช่นกัน โดยนำอยู่ถึง 22 จุด

"ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสุขภาพและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เราได้เห็นว่าพนักงานมีความคาดหวังกับบริษัทมากขึ้น โดยหวังให้นายจ้างทำประโยชน์ให้กับสังคม" Peter Brown ผู้นำร่วมฝ่าย People and Organization Practice ของ PwC กล่าว "โชคดีที่การทำประโยชน์เพื่อสังคมและการสร้างกำไรสูงสุดสามารถเกิดขึ้นพร้อมกัน โดยในความเป็นจริงแล้ว การทำธุรกิจเพื่อสังคมสามารถเพิ่มกำไรให้บริษัทได้ด้วย"

การทำงานทางไกลควรเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับพนักงาน

ผลสำรวจได้ข้อสรุปว่า การทำงานจากทางไกลจะดำเนินต่อไปหลังคลายล็อกดาวน์ โดยในบรรดาผู้ที่สามารถทำงานจากทางไกลได้นั้น 72% ต้องการทำงานทางไกลควบคู่กับการทำงานแบบเดิม และมีเพียง 9% ที่อยากกลับไปสู่สภาพแวดล้อมการทำงานแบบเดิมเต็มเวลา โดยผู้ประกอบวิชาชีพ พนักงานออฟฟิศ เจ้าของธุรกิจ และผู้ประกอบอาชีพอิสระ สามารถใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานทางไกลได้ อย่างไรก็ดี 43% ของผู้ใช้แรงงาน และ 45% ของแรงงานกึ่งฝีมือ ระบุว่ามีงานหลายส่วนที่สามารถทำจากทางไกลได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ทัศนคติของพนักงานเกี่ยวกับการทำงานจากที่บ้านแตกต่างกันตามพื้นที่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าโรคระบาดทำให้ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก โดยพนักงานในเมืองใหญ่ (66%) มีแนวโน้มทำงานที่สามารถทำจากทางไกลได้มากกว่าพนักงานในชนบท (44%)

พนักงานเห็นต่างเรื่องความเป็นส่วนตัวและเทคโนโลยี

พนักงาน 44% ระบุว่า ยินยอมให้นายจ้างใช้เทคโนโลยีเพื่อสอดส่องประสิทธิภาพการทำงานของตนเอง เช่น เซ็นเซอร์และอุปกรณ์สวมใส่ แต่ 31% ไม่ยินยอม อย่างไรก็ดี หลายคนไม่ได้ยินยอมถึงขั้นอนุญาตให้นายจ้างเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 41% ไม่ยินยอมให้นายจ้างเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เช่น โปรไฟล์โซเชียลมีเดีย และมีเพียง 35% ที่ยินยอม







ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ทำไมความสำเร็จของ Bruno Mars มาจากความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ทักษะทางดนตรี?

หลายคนคงรู้จัก Bruno Mars นักร้องชื่อดังที่มีเพลงฮิตติดหูมากมาย แต่ความสำเร็จในวันนี้ นอกจากความสามารถทางดนตรีแล้ว เจ้าตัวเผยว่า ‘ความซื่อสัตย์’ ต่อสิ่งที่ทำ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญท...

Responsive image

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มาจากคอนเนคชั่นและการเลือกคบคน บทเรียนสำคัญของ Mark Zuckerberg

Mark Zuckerberg ชี้การเลือกสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์นั้นอาจสำคัญกว่าเป้าหมายเสียอีกเพราะการที่เราจะเติบโตขึ้นไปเป็นใครสักคนหนึ่ง ผู้คนที่เราคบหาส่งผลอย่างมากต่อตัวตนของเรา...

Responsive image

เทียบสวัสดิการหญิง ไทยสู้ใครได้บ้าง?

บทความนี้ Techsauce จึงจะพามาดูว่าการต่อสู้กว่า 1 ศตวรรษที่ผ่านมา ในปัจจุบัน ‘สิทธิสตรี’ และสวัสดิการหญิงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว...