3 เหตุผล ทำไมราคา Bitcoin ถึงสามารถพุ่งทะลุเพดานประวัติศาสตร์ได้ | Techsauce

3 เหตุผล ทำไมราคา Bitcoin ถึงสามารถพุ่งทะลุเพดานประวัติศาสตร์ได้

บทความนี้เป็น guest post โดย Sanjay Popli (CEO - Cryptomind)

เรียกได้ว่าปี 2020 เป็นช่วงขาขึ้นของเหล่าสกุลเงินดิจิทัลเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกอย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin)  ที่แม้ว่าจะมีราคาที่สูงมากอยู่แล้ว แต่ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า นับจากนี้ราคาของบิตคอยน์จะมีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปอีก จนถึงขั้นมีนักสถิติบางคนทำนายว่า จากราคาราวเหรียญละราว ๆ ห้าแสนหกหมื่นบาท ณ ตอนนี้ จะสามารถพุ่งทะยานไปจนถึงที่ราคาเหรียญละเก้าล้านบาทได้ภายในสิ้นปี 2021 ได้เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ราคาของบิตคอยน์ได้ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคา 19,8xx เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ตามแต่ราคาเว็บเทรดแต่ละแห่ง) หรือราว ๆ 600,000 บาท และนี่คือ 3 เหตุผลว่าทำไมราคาบิตคอยน์ถึงสามารถพุ่งทะลุเพดานประวัติศาสตร์ได้ ครั้งนี้ Techsauce ได้นำบทความจาก guest post เขียนโดย Sanjay Popli (CEO - Cryptomind) มาให้ได้อ่านกันความสนใจขององค์กรต่าง ๆกราฟราคา BTC/USD รายเดือนในตลาด Coinbase ที่มา: TradingView

1. ความสนใจขององค์กรต่าง ๆ

จะเห็นได้ว่าตลอดปี 2020 นี้ มีการเปิดเผยถึงการเข้าซื้อบิตคอยน์เป็นมูลค่าหลายพันล้านของบริษัทและสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่ง อาทิ Grayscale และ MicroStrategy เป็นต้น ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ตีความได้ว่า นับจากนี้ไป องค์กรใหญ่ ๆ และผู้จัดการกองทุนหลายแห่งจะเริ่มหันมามองบิตคอยน์ในฐานะ “สินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการเก็งกำไร” มากยิ่งขึ้น แล้วยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ อาจกำลังวางนโยบายในการผลิตธนบัตรออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขการชะลอตัวในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมมูลค่าของเงินสดลง การเลือกซื้อบิตคอยน์เก็บไว้ในระยะยาวก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะรักษามูลค่าของสินทรัพย์ได้ดีกว่าเก็บในรูปของเงินทั่วไป

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้คนหันมาสนใจบิตคอยน์มากที่สุด คงหนีไม่พ้นความเคลื่อนไหวของบริษัทเครือข่ายการชำระเงินระดับโลกอย่าง PayPal ที่ได้ประกาศเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า นับจากนี้ไปแพลตฟอร์มของ PayPal จะเริ่มให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล นั่นทำให้ร้านค้าและธนาคารกว่า 26 ล้านแห่งทั่วโลกยิ่งหันมาจับจ้องสกุลเงินดิจิทัลตัวนี้มากยิ่งขึ้น มิหนำซ้ำ ข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนาการให้บริการที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของ PayPal ยังมีออกมาอีกเรื่อย ๆ ทำให้เป็นที่จับตามองอย่างมากว่า นอกเหนือไปจากราคาของบิตคอยน์ที่ถูกปั่นจนสูงขึ้นไปในปลายปี 2020 แล้ว ยังจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะไรอีกที่ PayPal กำลังแอบซ่อนเอาไว้

2. การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบวก

ในระยะหลังมานี้ มีการเปิดเผยรายชื่อของทั้งนักวิเคราะห์และกลุ่มคนมีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ ที่ออกมายอมรับและพูดถึงบิตคอยน์ในแง่ดีมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ Paul Tudor Jones II และ Stanley Druckenmiller ผู้จัดการกองทุนระดับตำนานที่ลงความเห็นว่าบิตคอยน์มีความน่าสนใจอย่างมาก เมื่อพิจารณาในฐานะของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนในระยะยาว  นอกจากนี้ ยังมีกระแสความเห็นจากผู้คนและนักลงทุนที่กล่าวถึงบิตคอยน์ในเชิงเปรียบเทียบอีกว่า บิตคอยน์อาจเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นตัวประกันมูลค่าสินทรัพย์ในอนาคตได้เช่นเดียวกับทองคำ

ล่าสุด Ray Dalio ตอบ AMA (Ask Me Anything) บน Reddit เรื่อง Bitcoin ซึ่งคราวนี้ดู positive กว่าเมื่อก่อนมาก โดยบอกว่า Bitcoin (และผองเพื่อน) น่าสนใจในการเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ที่คล้ายกับทองคำ มันสามารถใช้เป็นตัวเลือกในการกระจายความเสี่ยงนอกจากการถือทองคำได้สำหรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งจุดสำคัญคือการมีสินทรัพย์ประเภทนี้เก็บไว้บ้าง สินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด เคลื่อนย้ายได้ง่าย และเก็บมูลค่าได้ อีกต้างหาก

3. การกลับมาอีกครั้งของ OKEx

หลังจากเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานที่มีต่อบริษัทแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง OKex เนื่องจากมีการถอนบิตคอยน์ออกจากระบบไปถึง 24,631 บิต จนบริษัทดังกล่าวถึงกับต้องมีการระงับการถอนสินทรัพย์ออกจากแพลตฟอร์มติดต่อกันถึงห้าสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หลังการตรวจสอบพบว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่จะมี “วาฬ” หรือผู้ถือบิตคอยน์รายใหญ่ได้ทำการวางมือจากตลาดแล้วขายบิตคอยน์ทิ้งเพื่อถอนเงินออกไป

จะเห็นได้ว่า การเดินทางของบิตคอยน์จะสัมพันธ์กับอินเทอร์เน็ตอยู่เสมอ คำกล่าวนี้ใช้ได้จริงอย่างยิ่งเมื่อเราพิจารณาถึงจำนวนการค้นหาคำว่าบิตคอยน์ในเครื่องมือการค้นหา โดยจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดเมื่อครั้งที่ราคาของบิตคอยน์ได้พุ่งทะยานสูงสุดเมื่อครั้งก่อนหรือก็คือเมื่อปี 2017 นั่นเอง

นอกจากนี้ เรายังพบว่า สื่อโดยส่วนมากก็เริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับบิตคอยน์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข่าวของ PayPal ออกมา ก็ยิ่งทำให้กระแสความสนใจในบิตคอยน์ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

มีการคาดการณ์ว่า ราคาของบิตคอยน์จะต้องสูงขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะต้องอย่าลืมว่าระบบของบิตคอยน์ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “halving” หรือการที่บิตคอยน์จะลดอัตราการเกิดใหม่ลงครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปี (รอบที่ผ่านมาคือเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 และรอบต่อไปคือปี 2024) ซึ่งนอกจากจะเป็นการควบคุมจำนวนบิตคอยน์ในระบบแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าและอุปสงค์ต่อบิตคอยน์อีกด้วยเมื่อทุกคนรู้ว่ามันจะมีจำนวนจำกัดเช่นเดียวกับทองคำ อย่างไรก็ดี เราอาจจะถือได้ว่าที่ราคามูลค่าเหรียญละ $20,000 คงจะถูกมองว่าเป็นกำแพงขั้นต่อไปที่บิตคอยน์จะต้องฝ่าไปให้ได้ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าตลาดบิตคอยน์จะมีสภาพคล่องอย่างมากในช่วงเวลาที่ราคาของมันกำลังขึ้นนั่นเอง ส่วนในอนาคตจะมีการเทขายบิตคอยน์ของนักลงทุนตัวใหญ่หรือ “วาฬ” ให้เห็นอีกหรือไม่ หรือราคาบิตคอยน์จะสามารถทะยานไปได้ไกลแค่ไหน ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องคอยติดตามต่อไป

อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ถ้ามีคำถามว่า เราควรเลือกลงทุนกับอะไร ระหว่างทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สะสมตลอดกาล แร่เงินซึ่งที่ก็มีความน่าเชื่อถือ หรือบิตคอยน์ซึ่งป็นตัวแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในยุคนี้ บางกระแสอาจกล่าวว่าอย่างไรทองคำก็มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่บางคนก็อาจแย้งกลับมาว่า แแท้จริงแล้วบิตคอยน์ต่างหากที่จะเป็นความหวังของสินทรัพย์ในโลกอนาคตที่จะยังรักษาและเพิ่มมูลค่าของตัวเองได้ แม้ว่ามูลค่าของเงินสกุลอื่น ๆ จะลดลง แต่ก็ดูเหมือนว่า แนวคิดแบบผสมผสานกำลังถูกจับตามองมากไม่แพ้กันหรือว่าแท้จริงแล้วเราควรซื้อสะสมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ แร่เงิน หรือบิตคอยน์ แนวคิดการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนี้ถึงอย่างไรก็ยังคงได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ แม้ว่ารูปแบบการลงทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม

บทความนี้เป็น guest post โดย Sanjay Popli (CEO - Cryptomind)

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...