จากวันที่ล้มเหลว สู่ผู้พลิกโฉมโลก: 3 เรื่องเล่าจาก Steve Jobs ที่จะทำให้คุณกล้าเดินตามฝันของตัวเอง

ในหน้าประวัติศาสตร์ของสุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจ ชื่อของ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) และเวทีพิธีสำเร็จการศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2005 จะถูกจารึกไว้เสมอ นี่คือปาฐกถาที่ไม่ได้พูดถึงความสำเร็จทางธุรกิจ แต่กลับกลั่นกรองบทเรียนชีวิตที่ทรงพลัง ผ่าน 3 เรื่องเล่าส่วนตัวที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง

เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของสุนทรพจน์นี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เราจะพาย้อนกลับไปทบทวน 3 บทเรียนสำคัญ ที่จ็อบส์ได้ฝากไว้ให้กับคนรุ่นใหม่ โดยใช้โครงสร้างเดียวกับที่เขาเล่า คือการหยิบยก "คำคม" ที่เป็นแก่นของเรื่อง ขึ้นมาก่อนจะดำดิ่งไปในเรื่องราวนั้นๆ

เรื่องที่ 1: การเชื่อมต่อจุด (Connecting the Dots)

"คุณไม่สามารถเชื่อมต่อจุดต่างๆ โดยมองไปข้างหน้าได้ คุณทำได้เพียงเชื่อมโยงมันเมื่อมองย้อนกลับไปเท่านั้น ดังนั้นคุณต้องเชื่อมั่นว่าจุดต่างๆ จะเชื่อมต่อกันเองในอนาคตของคุณ"

(You can’t connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future.)

สตีฟ จ็อบส์ เริ่มต้นด้วยการเล่าย้อนไปถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตวัยหนุ่ม นั่นคือการ "ลาออก" จากวิทยาลัยรีด (Reed College) หลังจากเรียนได้เพียง 6 เดือน การตัดสินใจครั้งนั้นทำให้เขามีอิสระที่จะไม่ต้องเรียนวิชาบังคับที่เขาไม่สนใจ และหันไป "ดรอปอิน" หรือเลือกเรียนวิชาที่น่าสนุกแทน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือวิชา คัดลายมือ (Calligraphy)

ในเวลานั้น การเรียนคัดลายมือดูเหมือนจะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงได้อย่างไร แต่แล้ว 10 ปีต่อมา เมื่อจ็อบส์และทีมงานกำลังออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintosh เครื่องแรก "จุด" ของความรู้ด้านการออกแบบตัวอักษรที่สวยงามจากวันนั้น ก็ได้ถูกนำกลับมา "เชื่อมต่อ" อย่างไม่น่าเชื่อ และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Mac เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีรูปแบบตัวอักษร (Typography) หลากหลายและงดงาม

บทเรียนนี้สอนให้เรารู้ว่า บางครั้งเส้นทางชีวิตก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงเสมอไป เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ทั้งหมด แต่เราต้องเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ, โชคชะตา, หรือ "กรรม" แล้วเดินหน้าทำในสิ่งที่สนใจ แม้ว่ามันจะดูไร้เหตุผลในสายตาคนอื่น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เราจะมองเห็นเองว่าทุกประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วนมีความหมายและเชื่อมโยงกันเป็นภาพใหญ่ในที่สุด

เรื่องที่ 2: ความรักและการสูญเสีย (Love and Loss)

"หนทางเดียวที่จะทำงานที่ยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ หากคุณยังหาสิ่งนั้นไม่เจอ ก็จงมองหาต่อไป อย่าหยุดนิ่ง"

(The only way to do great work is to love what you do. If you haven’t found it yet, keep looking. Don’t settle.)

เรื่องที่สอง จ็อบส์ได้เปิดเผยมุมที่มืดมนและเจ็บปวดที่สุดในชีวิตการทำงาน คือการถูกไล่ออกจาก Apple บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นมากับมือในวัย 30 ปี มันคือความล้มเหลวครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คน และทำให้เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างพังทลายลง

ทว่าท่ามกลางความสูญเสียนั้น เขาก็ค้นพบความจริงที่สำคัญที่สุดว่า "เขายังคงรักในสิ่งที่เขาทำ" ความล้มเหลวได้ปลดปล่อยเขาจากความกดดันของการเป็นผู้สำเร็จ และมอบอิสระให้เขากลับไปสู่ "จิตใจของผู้เริ่มต้น" อีกครั้ง เขาได้ก่อตั้งบริษัท NeXT และ Pixar ซึ่งต่อมาได้ปฏิวัติวงการแอนิเมชันของโลก และท้ายที่สุด Apple ก็ได้ซื้อกิจการ NeXT ทำให้เขาได้กลับคืนสู่บ้านที่เขาสร้างอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่

บทเรียนนี้ย้ำเตือนว่า ความรักในสิ่งที่ทำคือพลังขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด แม้ในวันที่เราล้มเหลวหรือสูญเสีย หากเรายังคงมี Passion อยู่ เราจะสามารถเริ่มต้นใหม่และสร้างสรรค์สิ่งที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้เสมอ ดังนั้น การค้นหาสิ่งที่เรารักจึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต

เรื่องที่ 3: ความตาย (Death)

"เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่าเสียมันไปกับการใช้ชีวิตของคนอื่น"

(Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life.)

เรื่องสุดท้าย จ็อบส์ได้แบ่งปันประสบการณ์ที่เขาเผชิญหน้ากับความตายโดยตรง หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน การตระหนักว่าชีวิตนั้นมีวันสิ้นสุดและเวลาของเรามีอยู่อย่างจำกัด ได้กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิต

เขาเล่าว่า การระลึกถึงความตายอยู่เสมอช่วยขจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป ทั้งความคาดหวังจากคนอื่น ความหยิ่งทะนง ความกลัวที่จะล้มเหลวหรืออับอาย เพราะเมื่อเทียบกับความตายแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงเท่านั้น นั่นคือการทำตามเสียงหัวใจและสัญชาตญาณของตัวเอง

บทเรียนนี้คือเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังที่สุด ให้เราใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นดังกว่าเสียงในใจ และอย่าเสียเวลาอันมีค่าไปกับการเดินตามเส้นทางที่คนอื่นขีดไว้ให้

และในตอนท้ายของสุนทรพจน์ จ็อบส์ได้ทิ้งคำคมที่เป็นเหมือนบทสรุปและคำอวยพรให้กับบัณฑิตทุกคนว่า “Stay Hungry. Stay Foolish.” (จงหิวกระหาย จงทำตัวโง่เขลาอยู่เสมอ) เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ และกล้าที่จะเสี่ยงทำในสิ่งที่แตกต่าง โดยไม่ต้องกลัวว่าจะดูโง่ในสายตาใคร

ชมสุนทรพจน์ความละเอียด Full HD ได้ที่: Youtube.com



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

รู้จักภาวะ Flow เคล็ดลับของคนมีความสุข ลืมเวลา ลืมตัวตน แต่แค่รู้สึกว่ากำลังมีชีวิตอยู่จริงๆ

ค้นพบแนวคิด “Flow” โดย Mihaly Csikszentmihalyi ภาวะลึกทางจิตใจที่ทำให้มนุษย์รู้สึกมีชีวิตอย่างแท้จริง ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงและความสุขที่เงินซื้อไม่ได้เสมอไป...

Responsive image

อัปเดตล่าสุด! เปิดลิสต์ 24 หนังสือเด็ด ส่องเทรนด์โลกอนาคตปี 2025 ผ่าน AI สังคมสูงวัย และนวัตกรรม

อัปเดตลิสต์หนังสือแนะนำปี 2025 จากคณาจารย์ MIT ที่สายเทคและนวัตกรรมต้องอ่าน! ครบทุกประเด็นร้อนตั้งแต่ AI, Deep Tech, สังคมสูงวัย, กลยุทธ์ Startup และอีกมากมาย...

Responsive image

AI ไม่ใช่ศัตรู แต่คือเครื่องมือของคนเก่ง มุมมอง ‘CK Fastwork’ กับอนาคตการทำงานที่เปลี่ยนไป

โลกงานเปลี่ยนไปแล้ว AI แทนคนได้มากขึ้นทุกวัน CK แห่ง Fastwork ชี้ว่า คนที่จะอยู่รอดไม่ใช่คนที่ทำได้หลายอย่าง แต่คือผู้เชี่ยวชาญที่ AI ต้องฟัง...