NIA จับมือ InvestHK ปูทางสตาร์ทอัพไทย ไปโชว์ของที่ Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

NIA จับมือ InvestHK ปูทางสตาร์ทอัพไทย ไปโชว์ของที่ Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

เมื่อเร็ว ๆ นี้ NIA และ InvestHK ได้จัดงาน ‘Road to Hong Kong Fintech Week x StartmeupHK Festival 2025’ เตรียมพร้อม 8 สตาร์ทอัพไทยก่อนไปออกงาน Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025 ในช่วงวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2025  ซึ่งเป็นงานสำคัญที่รวบรวมผู้คนในแวดวงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อสำรวจโอกาสและความร่วมมือระหว่าง Ecosystem ของไทยและฮ่องกง โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพไทยเข้ากับเครือข่ายนักลงทุนและตลาดโลก

งานนี้เริ่มด้วยการกล่าวเปิดงานจาก ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ตามด้วย Keynote ที่น่าสนใจจาก Panakorn Dejthumrongwat, Head of Investment Promotion, InvestHK , ช่วง Panel Discussion กับ Nithi Vashirakovit, Director - Country Head of Global Payments Solutions, HSBC Thailand และปิดท้ายด้วยการเจาะลึกตลาดจีนจาก David CHEN, Cross Border BU KA Dept. Senior Director, JD Retail

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

ดร.กริชผกา กล่าวเปิดงานโดยย้ำว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ NIA นำสตาร์ทอัพไทยเข้าร่วม Hong Kong Fintech Week อย่างเป็นทางการและมองว่าฮ่องกงมี Ecosystem ที่แข็งแรงมาก โดยเฉพาะสำหรับบริษัทเทคโนโลยี

สำหรับ กลยุทธ์ Win-Win ไทย-ฮ่องกง ดร. กริชผกา อธิบายว่าฮ่องกงเป็นประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ในขณะที่ไทยเป็นประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดจึงเป็นการสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับระบบนิเวศสตาร์ทอัพของทั้งสองฝ่าย ปัจจุบัน NIA กำลังผลักดันร่าง ‘พ.ร.บ. ส่งเสริมสตาร์ทอัพ’ ซึ่ง NIA จะทำหน้าที่เป็นเลขานุการ โดยกฎหมายนี้จะช่วยสร้างฐานข้อมูล การรับรองสตาร์ทอัพ (Certified Startup) และสร้างสิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ Ecosystem ไทยน่าดึงดูดสำหรับชาวต่างชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ 4G ของ NIA ที่ประกอบด้วย Groom, Grant, Growth และ Global

โครงการนี้คือประตูสู่ Growth และ Global ที่จะมอบสิทธิพิเศษให้สตาร์ทอัพได้เข้าถึง Ecosystem โชว์ศักยภาพผลิตภัณฑ์ และสร้างคอนเนกชันกับนักลงทุนและ VC ตัวจริงในฮ่องกง

และยังปิดท้ายด้วยการให้กำลังใจสตาร์ทอัพที่เข้าร่วม หวังว่าทุกทีมจะเติบโต และอาจก้าวขึ้นเป็น        “ยูนิคอร์น” รายต่อไปในอนาคต

Panakorn Dejthumrongwat | Head of Investment Promotion, Invest Hong Kong

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

Panakorn ขึ้นกล่าว Keynote เพื่ออธิบายว่าทำไมฮ่องกงถึงให้ความสำคัญกับการดึงดูดสตาร์ทอัพไทยและต่างชาติให้มาใช้ฮ่องกงเป็นฐานขยายสู่ตลาดโลก

สำหรับภารกิจการปั้น Ecosystem ของ InvestHK Panakorn อธิบายว่า Invest Hong Kong เป็นหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งปกติไม่ได้เป็นเจ้าของอีเวนต์เอง ยกเว้น 2 งานสำคัญที่รัฐบาลมอบหมายให้จัด คือ Hong Kong Fintech Week และ Startmeup Festival โดยปีนี้พิเศษตรงที่เป็นการฉลองครบรอบ 10 ปี 

นอกจากนี้ยังเล่าถึงข้อกังวลเรื่องสตาร์ทอัพไทยย้ายฐานไปต่างประเทศว่า "สำหรับฮ่องกงความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพไทยและฮ่องกงเป็นส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่ใช่คู่แข่ง" โดยชี้ให้เห็นว่าจุดแข็งของไทย คือมีความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ, มีฐานและกำลังการผลิต, มีทรัพยากรมนุษย์และการสนับสนุนสตาร์ทอัพไทย โดยหน่วยงานรัฐเช่น NIA และ DEPA  ในขณะที่จุดแข็งของฮ่องกง คือเครือข่ายระดับนานาชาติ, ฐานลูกค้า B2B, ตลาดเงินและตลาดทุนระดับโลก และเป็นประตูสู่ตลาดจีน"

โดย 3 นโยบายเศรษฐกิจที่ทำให้ฮ่องกงแตกต่างและสามารถช่วยบริษัทต่างชาติ ได้แก่ Free flow of capital กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าออกได้อย่างเสรี ซึ่งหากระดมทุนในฮ่องกงก็สามารถโอนกลับมาขยายธุรกิจในไทยได้, Free market regime ไม่มีกำแพงภาษี หรือข้อกีดกันอื่นๆ และ Fair treatment บริษัทต่างชาติจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับบริษัทท้องถิ่น

ในส่วนของภูมิทัศน์การลงทุน หรือ Funding Landscape ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าฮ่องกงมีบริษัทนานาชาติกว่า 9,000 แห่งตั้งอยู่ และคนฮ่องกงมีกำลังซื้อสูง ด้านการระดมทุนสำหรับระดับ Series A+ มี VC มากกว่า 500 ราย และ Family Office กว่า 2,500 แห่ง ส่วนระดับ Early-Stage รัฐบาลฮ่องกงมีเงินทุนสนับสนุน ผ่าน Cyberport และ Hong Kong Science Park ให้ทั้งสตาร์ทอัพท้องถิ่นและต่างชาติ

และเพื่อเป็น Case Study ที่แสดงให้เห็นโมเดลที่ 'ใช่' สำหรับสตาร์ทอัพไทย ได้ยกตัวอย่าง Yindii สตาร์ทอัพไทยที่ทำแพลตฟอร์มจองอาหารที่ใกล้หมดอายุในราคาพิเศษขึ้นมา ซึ่งเหมาะกับตลาดฮ่องกงที่เป็น "สวรรค์ของนักชิม" และคนนิยมซื้ออาหารนอกบ้าน

เราไม่เคยแนะนำให้สตาร์ทอัพไทยย้ายธุรกิจทั้งหมดมาฮ่องกง เพราะไม่สมเหตุสมผลทางธุรกิจ โมเดลที่แนะนำคือเก็บงานหลัก ๆ อย่างการพัฒนาไว้ที่ไทย และใช้ฮ่องกงเป็นฐานสร้างทีมขายเพื่อขยายตลาด

Panakorn สรุปว่า Invest Hong Kong ช่วยได้ทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทเล็ก ไม่ใช่แค่สตาร์ทอัพ แต่รวมถึงธุรกิจเก่าแก่ เช่น Big C, เต่าบิน หรือ IF ผู้ผลิตน้ำมะพร้าวรายใหญ่ของไทยที่พึ่งตัดสินใจจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

Nithi Vashirakovit | Director and Country Head of Global Payments Solutions, HSBC Thailand

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

ในช่วง Panel Discussion Nithi จาก HSBC ได้แชร์มุมมองจากฝั่งธนาคารระดับโลก โดยเผยผลสำรวจว่าปัจจุบันมี 3 สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากที่สุด คือ 

  • Operational Efficiency การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น ลดกระบวนการ Manual
  • Adoption of new technologies การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ หรือการทำ Digitization มาใช้ 
  • Expansion การขยายไปยังตลาดใหม่ ๆ

สำหรับประเทศไทย Nithi ชี้ว่าระบบการเงินพัฒนาเร็วมาก โดยเฉพาะการใช้ Real-time Payment เช่น PromptPay โตอย่างก้าวกระโดด เขายกตัวอย่างว่า “ถ้าไปซื้ออาหารข้างทางตอนนี้ แทบไม่มีใครพกเงินสดแล้ว” ขนาดธุรกรรมเฉลี่ยลดลงมาเหลือประมาณ 490 บาท แสดงว่าคนใช้ Digital Payment กับเกือบทุกอย่างในชีวิตประจำวัน 

ธนาคาร vs Fintech ไม่ใช่คู่แข่ง แต่คือ ‘Co-opetition’

หลายคนมองว่าธนาคารอาจถูก Fintech เข้ามาแทนที่ Nithi ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองฝั่งนี้ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะกัน แต่เป็น ‘Co-opetition’ ซึ่งมาจากการรวมคำว่า Cooperation และ Competition เข้าไว้ด้วยกัน "เราไม่ใช่คู่แข่งกันเสียทีเดียว แต่เป็นการร่วมมือกันท่ามกลางการแข่งขันที่เป็นมิตร" คุณนิธิอธิบาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าธนาคารและ Fintech สามารถเติบโตไปพร้อมกันได้

โดย HSBC เองก็มองความสัมพันธ์กับ Fintech ใน 3 รูปแบบหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นการมอง Fintech ในฐานะลูกค้าที่ธนาคารคอยสนับสนุนระบบหลังบ้านให้, ในฐานะพาร์ทเนอร์ เพื่อเสริมจุดแข็งให้กันและกัน เนื่องจากต้องยอมรับว่า Fintech มีความคล่องตัวกว่า และสุดท้ายคือในฐานะเป้าหมายการลงทุน ผ่านหน่วยงานอย่าง HSBC Ventures ที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่มีศักยภาพและมีอนาคต

เมื่อมองไปข้างหน้า Nithi ยังได้ชี้ให้เห็น 3 เทคโนโลยีสำคัญที่กำลังมาแรงและจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในวงการการเงิน ได้แก่ Cross-border connectivity หรือโซลูชันที่ช่วยให้การทำธุรกรรมและการค้าขายข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายและไร้รอยต่อมากขึ้น, Financial Inclusion หรือการทำให้บริการทางการเงินเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการของธนาคารแบบเต็มรูปแบบ ซึ่งบริการอย่าง "ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง" (Buy Now Pay Later - BNPL) ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ และสุดท้ายคือ AI และ OCR ที่จะเข้ามาช่วยจัดการงานที่ต้องทำซ้ำๆ และใช้เวลานาน เช่น การกระทบยอดข้อมูลจากใบแจ้งหนี้ให้กลายเป็นเรื่องง่ายและอัตโนมัติ

คำแนะนำถึง Fintech ที่ต้องการทำงานร่วมกับธนาคาร โดยชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่ธนาคารมองหา นั่นคือ 'ความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน โดยย้ำว่า Fintech มีความเร็ว ธนาคารมีสเกลและความแข็งแกร่ง

สิ่งที่ธนาคารมองหาเป็นอันดับแรกๆ คือ Governance และ Compliance ที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะเรื่องการต่อต้านการฟอกเงิน เรื่องนี้สำคัญที่สุด

David CHEN | Cross Border BU KA Dept. Senior Director, JD Retail

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

ปิดท้ายด้วย Keynote เจาะลึกตลาดจีนจาก JD.com David ได้แชร์ข้อมูลเชิงลึกที่น่าสนใจหลายประเด็น เริ่มจากภาพรวมตลาด E-commerce ของจีนที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยจากประชากร 1.4 พันล้านคน มีผู้ใช้ E-commerce ประมาณ 1 พันล้านคน และมูลค่าตลาดรวมถึง 15 ล้านล้านหยวน ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจาก AI, AR/VR และระบบ Supply Chain ที่พัฒนาขึ้น

สำหรับเทรนด์ใหม่ 3 อย่างที่กำลังมาแรงในจีน ได้แก่

  • Instant Retail – การจัดส่งด่วนภายใน 1 ชั่วโมง
  • Live Streaming / Content Commerce
  • Cross-border – การค้าข้ามพรมแดนที่เติบโตเร็วมาก

และได้เล่าประวัติ JD ว่าเริ่มจากร้านออฟไลน์ในปี 1998 และเข้าสู่โลกออนไลน์เต็มตัวในปี 2003 ช่วงโรค SARS ปัจจุบัน JD เป็นบริษัทเอกชนอันดับ 1 ของจีน มีรายได้สุทธิ 5 ล้านล้านบาท ผู้ใช้งาน 700 ล้านคน มีคลังสินค้า 1,600 แห่งในจีน และบริการจัดส่งมาตรฐาน ‘211’ คือสั่งเช้าได้บ่าย นอกจากนี้ JD ยังมีห้างสรรพสินค้า 30 แห่ง, ซูเปอร์มาร์เก็ต 300 แห่ง, ร้านสะดวกซื้อกว่า 1 ล้านสาขา รวมถึง JD Logistic และ JD Healthcare

‘Cross-border B2C’ ทางลัดสำหรับแบรนด์ไทยสู่จีน

David เน้นย้ำว่า การส่งออกไปจีนมี 2 แบบ คือนำเข้าทั่วไป ซึ่งยุ่งยากมาก เพราะต้องขอใบรับรอง, ลงทะเบียน, เสียภาษีเต็มอัตราและต้องจดเครื่องหมายการค้าในจีน เทียบกับ Cross-border B2C ซึ่งเป็น ทางลัดที่ง่ายที่สุด เหตุผลที่ Cross-border B2C ง่ายกว่า เพราะไม่ต้องมีข้อจำกัดด้านใบรับรอง, รัฐบาลจีนมี ส่วนลดภาษีให้ 70% และ ไม่ต้องจดเครื่องหมายการค้าในจีน โดยสามารถใช้เครื่องหมายการค้าเดิมของไทยได้เลย

นอกจากนี้ยังเผยว่า JD มีคลังสินค้า 4 แห่งสนับสนุนสินค้าจาก SEA เพื่อรองรับโมเดล Cross-border นี้ ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์, โฮจิมินห์, ฮ่องกง และ กรุงเทพฯ ที่สมุทรปราการ ซึ่งพร้อมช่วยแบรนด์ไทยส่งสินค้าไปจีนได้ทันที

สำหรับ Top 5 สินค้าไทยที่คนจีนต้องการซื้อแบบ Cross-border ได้แก่

  • เครื่องสำอางและความงาม (ครองส่วนแบ่ง 40%)
  • เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • สินค้าแม่และเด็ก
  • อาหารและเครื่องดื่ม
  • สินค้าแฟชั่น

นอกจากนี้กลุ่มผู้ใช้งาน JD Cross-border เป็นกลุ่ม Premium ที่มีกำลังซื้อสูง ใช้จ่ายเฉลี่ย 20,000 หยวนต่อปี และทิ้งท้ายด้วยข่าวดีสำหรับ SME ไทยว่า 

ผมเพิ่งกลับมาจากการประชุมกับกระทรวงพาณิชย์ของไทย..เรากำลังหาทางช่วย SME ไทยไปจีนและจะเปิดโปรเจกต์  Country Store หรือร้านค้าประจำประเทศ เพื่อช่วย SME ที่ไม่รู้วิธีการ ไม่รู้กระบวนการหรือไม่มีความสามารถในการเปิดและดำเนินการร้านค้าออนไลน์ด้วยตัวเอง

ภาพบรรยากาศงานภายในงาน Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025 Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025

Hong Kong FinTech Week x StartmeupHK Festival 2025


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 บทเรียน Startup อาเซียน โตอย่างเข้าใจ ไม่ใช่แค่มุ่งขยายธุรกิจ

การขยายธุรกิจในอาเซียนไม่ใช่เรื่องของการ copy ความสำเร็จจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง แต่คือการเข้าใจตลาด วัฒนธรรม และผู้คนอย่างแท้จริง พบ 5 บทเรียนจากผู้นำสตาร์ทอัพ...

Responsive image

Techsauce ประกาศตั้ง Thailand Accelerator ช่วยสเกลอัพธุรกิจให้พุ่งทะยาน

Techsauce ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการเป็นแพลตฟอร์มแห่งการสร้างโอกาส เชื่อมโยงธุรกิจและเทคโนโลยีระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศจัดตั้ง Thailand Accelerator ช่วยสเกลอัพธุรกิ...

Responsive image

เหล่า VC เตือนสตาร์ทอัพ แนะวิธีรับมือช่วง Downturn

บรรดา VC ซึ่งประกอบไปด้วย Y Combinator, Target Global, OTB Ventures, TheVentureCity รวมถึง Sequoia Capital ได้ออกคำแนะนำ เพื่อให้สตาร์ทอัพต่างๆ เตรียมรับสภาพขาลงของตลาดอย่างจริงจัง...