Quaise Energy ใช้ 'คลื่นมิลลิเมตร' เจาะหินแกรนิตสำเร็จ ปูทางสู่พลังงานสะอาดที่ผลิตได้ทุกที่บนโลก

Quaise Energy บริษัท Startup ด้านพลังงานความร้อนใต้พิภพ (Geothermal Energy) ระดับ Grid-scale ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการขุดเจาะด้วยเทคโนโลยีคลื่นมิลลิเมตรที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ลงไปได้ลึกถึง 100 เมตร ณ ไซต์งานในรัฐเท็กซัสตอนกลาง ความสำเร็จนี้ไม่เพียงสร้างสถิติใหม่สำหรับการขุดเจาะด้วยเทคโนโลยีนี้ แต่ยังเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สู่การปลดล็อกพลังงานความร้อนใต้พิภพมหาศาลของโลก ให้กลายเป็นแหล่งพลังงานหลักที่มั่นคง (Baseload Energy) และขยายผลได้ในวงกว้าง

เทคโนโลยีจาก MIT ที่จะมาแทนที่หัวเจาะแบบเดิมๆ

ระบบขุดเจาะด้วยคลื่นมิลลิเมตรของ Quaise ซึ่งเป็นผลจากการวิจัยและพัฒนานานกว่าทศวรรษที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ใช้ ‘ไจโรตรอน’ (Gyrotron) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดคลื่นไมโครเวฟกำลังสูง ในการยิงพลังงานเพื่อระเหิดหินแข็งให้กลายเป็นไอ (Ablate) ได้เป็นครั้งแรก โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์หรือฮาร์ดแวร์ใดๆ อยู่ที่ปลายหลุมเจาะเลย

เทคโนโลยีนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการขุดเจาะแบบดั้งเดิมที่ใช้หัวเจาะ ซึ่งมักประสบปัญหาเมื่อเจอชั้นหินที่แข็งและร้อนจัด เช่น หินแกรนิตและหินบะซอลต์ แต่เทคโนโลยีคลื่นมิลลิเมตรกลับสามารถทะลุทะลวงชั้นหินเหล่านี้ เพื่อเข้าถึงแหล่งหินร้อนยิ่งยวด (Superhot Rock) ที่อุณหภูมิสูงราว 400℃ ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวโลก

การเข้าถึงชั้นหินที่ร้อนและลึกยิ่งขึ้น จะทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพของ Quaise สามารถผลิตพลังงานได้มากกว่าโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมหลายเท่าตัว เปิดศักยภาพสู่โครงการระดับ Grid-scale ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ทัดเทียมกับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลขนาดใหญ่

"โลกของเรามีแหล่งพลังงานสะอาดมหาศาลอยู่ข้างใต้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตพลังงานของโลกได้อย่างสิ้นเชิงหากเราเข้าถึงได้ ตอนนี้ Quaise ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเทคโนโลยีคลื่นมิลลิเมตรทำในสิ่งที่เทคโนโลยีอื่นทำไม่ได้ นั่นคือการเจาะหลุมที่สมบูรณ์ผ่านชั้นหินที่แข็งที่สุดในโลกด้วยเวลาที่รวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้เราเข้าใกล้การเปลี่ยนพลังงานความร้อนใต้พิภพให้เป็นโซลูชันที่ใช้ได้จริงสำหรับทุกชุมชนในแทบทุกที่บนโลก"

Carlos Araque, CEO และประธานของ Quaise Energy กล่าว

เบื้องหลังความสำเร็จ: การจับมือของ Startup และยักษ์ใหญ่ด้านการขุดเจาะ

เบื้องหลังความสำเร็จของ Quaise ไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ยังมีการสนับสนุนจาก Nabors Industries หนึ่งในบริษัทขุดเจาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นทั้งนักลงทุนและพันธมิตรด้านเทคนิค โดย Nabors ได้ลงทุนใน Quaise เป็นเงินถึง 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2021

การจับมือกันของ Startup ด้าน Climate Tech และบริษัทดั้งเดิมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เป็นโมเดลที่เห็นได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย สำหรับ Quaise พวกเขาได้รับทั้งเงินทุนและองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญที่หาได้ยาก ในขณะที่ Nabors ก็ได้ก้าวเข้าสู่นวัตกรรมพลังงานแห่งอนาคต ซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญในวันที่พลังงานฟอสซิลอาจต้องลดบทบาทลง

Cameron Maresh วิศวกรโครงการจากทีม Energy Transition ของ Nabors Industries กล่าวว่า "สำหรับเราแล้ว เราไม่เกี่ยงว่าจะเจาะหลุมเพื่ออะไร" ซึ่งสะท้อนมุมมองที่เปิดกว้างต่อเทคโนโลยีใหม่ๆ "เราตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นว่า Quaise จะทำอะไรได้บ้าง"

บทบาทของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซใน Climate Tech

ทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) เคยออกรายงานที่ชี้ว่า การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจะราบรื่นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลง หากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง องค์ความรู้และทรัพยากรของอุตสาหกรรมนี้สามารถนำมาต่อยอดในเทคโนโลยีสำคัญๆ ได้ เช่น ไฮโดรเจน, เชื้อเพลิงชีวภาพ, การดักจับคาร์บอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานความร้อนใต้พิภพ

อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับเดียวกันก็ชี้ให้เห็นความจริงที่น่ากังวลว่า ในปี 2022 การลงทุนจากบริษัทน้ำมันและก๊าซในเทคโนโลยีเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) ทั่วโลก คิดเป็นสัดส่วนเพียง 1% เท่านั้น แม้ตัวเลขจะขยับขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้น แต่ก็ยังยากที่จะบอกว่าอุตสาหกรรมนี้ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่แล้ว การจับมือระหว่าง Quaise และ Nabors จึงเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าจับตา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น

จากห้องแล็บสู่ภาคสนาม ก้าวต่อไปคือโรงไฟฟ้าต้นแบบ

ก่อนปี 2025 การเจาะด้วยคลื่นมิลลิเมตรเคยทำได้สำเร็จเพียงในห้องทดลองของ MIT เท่านั้น ซึ่งเจาะได้ลึกเพียงไม่กี่เซนติเมตร แม้ว่าความลึก 100 เมตรในปัจจุบันจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความลึกที่ต้องใช้จริงสำหรับโรงไฟฟ้าแห่งแรก แต่หินแกรนิตที่เจาะได้ในการทดสอบภาคสนามครั้งนี้ คือหินชนิดเดียวกับที่ปกคลุมชั้นหินฐานราก (Basement Layer) ของเปลือกโลก ซึ่งการเจาะทะลุชั้นหินนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญสู่การปลดล็อกพลังงานความร้อนใต้พิภพขั้นสุด (Superhot Geothermal) ได้ทั่วโลก

ก้าวต่อไปของบริษัทคือการพัฒนาระบบโดยใช้ Gyrotron ที่มีกำลังสูงขึ้นถึง 10 เท่า และคาดว่าจะสามารถสร้างโรงไฟฟ้าต้นแบบ (Pilot Plant) แห่งแรกในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ให้แล้วเสร็จได้ภายในปี 2028

ที่มา: QuaiseThinkgeoenergy

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

จีนเตรียมรับมือผลพวงยุค EV กับ ‘ซากแบตเตอรี่’ ที่กำลังท่วมประเทศ เร่งสร้างระบบ ‘Closed Loop’ สู้วิกฤตขยะพลังงานยุคใหม่

จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถ EV โลก แต่ความสำเร็จนี้กำลังทิ้งโจทย์ใหญ่ไว้เบื้องหลัง เมื่อซากแบตเตอรี่รถไฟฟ้านับแสนตันเริ่มทะลักเข้าสู่ระบบที่ยังไม่พร้อม...

Responsive image

AI อ่านสุขภาพข้าว! แค่ถ่ายรูปก็รู้ว่าข้าวแตกหน่อดีไหม ช่วยประเมินผลผลิตได้ทันที แม่นยำ 94–98%

TillerPET ถูกออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์กอข้าวหลังการเก็บเกี่ยว จากภาพถ่ายธรรมดา โดยสามารถทำงานกับข้าวจริงในพื้นที่ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องทดลอง...

Responsive image

ทำไมญี่ปุ่นรับมือภัยพิบัติได้ดีกว่าประเทศไหนในโลก? ถอดบทเรียนการออกแบบชีวิต เมือง และสังคมให้ไม่ล้มเมื่อโลกสั่น

ญี่ปุ่นรับมือภัยพิบัติได้อย่างโดดเด่นเพราะมี ‘วัฒนธรรมความยืดหยุ่น’ ที่ฝังอยู่ในชีวิตประจำวัน งานวิจัยของศาสตราจารย์ Miho Mazereeuw และหนังสือ Design Before Disaster เผยให้เห็นว่าก...