สรุปภาพรวมงาน ‘ปลุกพลังความร่วมมือสู่เป้าหมายความยั่งยืน’ | Techsauce

สรุปภาพรวมงาน ‘ปลุกพลังความร่วมมือสู่เป้าหมายความยั่งยืน’

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจ TCP จัดงานปลุกพลังความร่วมมือสู่เป้าหมายความยั่งยืน (Collaborative Partnership for Sustainability) ภายในงานมีตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ เข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง พร้อมเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ รวมถึงร่วมระดมความคิดเห็น ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์และนำไปสู่การขับเคลื่อนร่วมกันของทุกภาคส่วนได้

เริ่มต้นเปิดงานโดย คุณวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงบทบาทของภาครัฐในการดำเนินนโยบายขับเคลื่อน BCG Model ว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจกว่า 3 เท่าตัว ขณะเดียวกันได้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับที่ 21% ของโลก ทำให้เป็น 1 ใน 10 ของประเทศที่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงข้อมูลจาก World Economic Forum 2022 ได้เปิดเผยรายงานความเสี่ยงโลก (Global Risks Report 2022) ระบุว่า ความล้มเหลวของการจัดการปัญหาโลกร้อนถือเป็นความเสี่ยงสำคัญเช่นกัน  

สำหรับประเทศไทยภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันเพื่อเตรียมรับมือ ปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน Synergy การทำงาน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กับความตกลงปารีส โดยประเทศไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่และด้วยทุกวิถีทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี 2065

ขณะที่บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานทั้ง ด้านนโยบาย โดยได้บูรณาการเป้าหมาย net zero เข้าสู่ยุทธศาสตร์นโยบาย และแผนระดับประเทศ  ขับเคลื่อน BCG Model สร้าง new S-Curve ทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมภาคเกษตรในการลดก๊าซเรือนกระจก 

ด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมภายในประเทศ เช่นเทคโนโลยีเพื่อการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) และนวัตกรรมการจัดการขยะทะเล 

ด้านการค้าและการลงทุน ได้ประสานกับ BOI จัดทำมาตรการส่งเสริมการลงทุนในสินค้าที่เป็นต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสาขาต่างๆ เช่น พลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรมเกษตร ป่าไม้ เป็นต้น และสนับสนุนให้เกิดการลงทุนสีเขียว ตลอดจนด้านกลไกตลาดคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ โดยได้จัดทำแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต รวมถึงการเพิ่มแหล่งกักเก็บและดูดกลับก๊าซเรือนกระจก

จากการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนความยั่งยืนจะเป็นโอกาสที่ภาคเอกชนสามารถปรับตัวรับมือผ่านการใช้แนวคิด Green Recovery and Move Forward Greener เพื่อจัดการความเสี่ยง และวางแผนการดำเนินธุรกิจในระยะยาว เพื่อที่จะดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบาย BCG Economy ของรัฐบาล และแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) ของภาคเอกชนเช่นเดียวกัน 

ต่อมาเป็นการบรรยายพิเศษในด้านการเตรียมความพร้อมของภาคธุรกิจต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้านความยั่งยืน โดยดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ มูลนิธิสถาบันอนาคตไทยศึกษา ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจได้จะต้องขับเคลื่อนผ่านทั้งคนและทุน ซึ่งในบริบทของความยั่งยืนนั้นปัจจัยต่าง ๆ ทั้งทางด้านกฎหมาย ภาวะโลกร้อน ต่างส่งผลกระทบต่อภาวะการเติบโตของทุนทั้งสิ้น หากไม่ปรับตัวให้เข้ากับบริบทที่เปลี่ยนไปก็จะทำให้การเติบโตอยากยิ่งขึ้น ขณะที่เรื่องของคนหรือแรงงาน ในมิติของความยั่งยืนนั้นจะเป็นไปในแง่ของหลักธรรมาภิบาล ต่อพนักงาน ความเท่าเทียมทางเพศ และการสนันสนุนความหลากหลายในที่ทำงาน 

ยกตัวอย่างธุรกิจที่เติบโตสูงในต่างประเทศ สิ่งต่างเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ให้ธุรกิจเติบโตทั้งสิ้น ดังนั้นการเติบโตอย่างยั่งยืนจึงไม่ใช่ภาระที่จำต้องทำ แต่ถือเป็นกลยุทธ์เพื่อการเติบโตในธุรกิจ ซึ่งต้องมีกระบวนการเปลี่ยนในตลอดห่วงโซ่อุปทาน และใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับภายในองค์กร ออกสู่ภายนอก และเป็นส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจ (อ่านเพิ่มเติม)

คุณสราวุธ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ได้กล่าวถึง มิติด้านความยั่งยืนที่กลุ่มธุรกิจ TCP กำลังทำและความก้าวหน้านับตั้งแต่การประกาศกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในปี 2561 มาจนถึงการประกาศเป้าหมายธุรกิจใหม่ “ปลุกพลัง เพื่อวันที่ที่ดีกว่า” หรือ Energizing a Better World for All เมื่อต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ภายใต้กลยุทธ์หลัก  3 ด้าน ได้แก่ 1) Fulfilling ปลุกพลังแบรนด์สินค้า  2) Growing ปลุกพลังธุรกิจเติบโต 3) Caring ปลุกพลังห่วงใยสิ่งแวดล้อมที่จะดำเนินการภายใน 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2565-2567 

โดยกลุ่มธุรกิจ TCP มุ่งไปที่การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืน (Collaborative Partnership for Sustainability) ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 

  • ประการที่ 1 ร่วมมือ ร่วมมือ ร่วมมือ การจะไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนได้ จะต้องเกิดจากความร่วมมือหลายระดับตั้งแต่รัฐบาล ความร่วมมือในภาคเอกชนด้วยกันเองไปจนถึงผู้บริโภค 

  • ประการที่ 2 การแบ่งปันทรัพยากรและองค์ความรู้ บริษัทจะไม่สามารถขับเคลื่อนงานได้สำเร็จ หากไม่มีพันธมิตรภาคประชาสังคมหรือภาควิชาการ รวมถึงพันธมิตรในธุรกิจที่มาร่วมแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถทำในสิ่งที่ทำให้ได้เป็นจริงได้  

  • ประการที่ 3 การปรับตัวและกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง  โดยจะต้องเริ่มทำจากเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดและเป็นไปได้มากที่สุดก่อน ซึ่งคำว่าเป็นไปได้จริงนั้นมี 2 มิติ คือ มิติด้านเทคโนโลยีหรือวิธีการที่ทำให้เกิดขึ้นได้จริง และมิติที่ว่าเป้าหมายที่ตั้งนั้นคุ้มค่าที่จะทำ พร้อมทั้งต้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ทางปฏิบัติมากที่สุด ควบคู่ไปกับความพยายามในการหานวัตกรรมและการลงทุนใหม่ๆที่ทำให้การแก้ปัญหาสั้นลง 

ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงประเด็นการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนว่า สถานการณ์น้ำของประเทศไทย มีความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีมากกว่า 1.5 แสนล้าน ลบ.ม. ขณะที่มีน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เฉลี่ยเพียงแค่ 40,335 ล้าน ลบ.ม. และที่สำคัญปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการที่จะสามารถทำให้ประเทศไทยมีน้ำใช้อย่างเพียงพอในทุกภาคส่วนและทำให้เกษตรกรมีรายได้อย่างยั่งยืนจะต้องมีการใช้นวัตกรรมมาบริหารจัดการน้ำ ที่ทำให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้  สามารถลดภัยพิบัติน้ำท่วม น้ำแล้ง และมีความมั่นคงทางน้ำได้  รวมถึงภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมในภาคการเกษตร รวมทั้งสร้างรายได้และมูลค่าตลอดห่วงโซ่การผลิตเพื่อเชื่อมโยงภาคเกษตรและชุมชนได้  (อ่านเพิ่มเติม) 

ด้าน คุณยาช โลเฮีย ประธานคณะกรรมการด้านการดำเนินงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล จาก ไอวีแอล กล่าวถึงความรับผิดชอบของธุรกิจที่มีต่อโลกว่า จากรายงานของ UN Environment Program ระบุว่า PET เป็นพลาสติกรีไซเคิลที่มากที่สุดในโลก และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากโลกมีความรับผิดชอบร่วมกันในการยุติขยะพลาสติก การรีไซเคิลมีความสำคัญต่ออนาคตที่ยั่งยืนอย่างมาก เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยลงและของเสียน้อยลง 

สำหรับไอวีแอล ซึ่งเป็นผู้ผลิตพลาสติก PET และรีไซเคิลรายใหญ่ที่สุดในโลก เปลี่ยนขวดหลายพันล้านขวดให้เป็นขวดใหม่ผ่านกระบวนการเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก โดยได้วางแผนที่จะรีไซเคิลขวดหลังการบริโภค 750,000 ตันหรือ 50 พันล้านขวดต่อปี ภายในปี 2025 ปัจจุบันกำลังลงทุนสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อเพิ่มความสามารถในการรีไซเคิลได้ถึง 700%

ทั้งนี้เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยเทคโนโลยี กลยุทธ์ และการลงทุนมูลค่ากว่า 1.5  พันล้านเหรียญ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการรีไซเคิลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นที่ต้องอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนกว่าเดิมมาก และยังอยู่ในช่วงตั้งต้น ซึ่งต้องอาศัยเวลา เงินลงทุน และการขยายตัว อย่างไรก็ตามโลกกำลังสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างยั่งยืน และทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความยั่งยืนได้เพียงตระหนักถึงการใช้วัสดุรีไซเคิลและแบ่งปันองค์ความรู้เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนต่อไป  (อ่านเพิ่มเติม)

ปิดท้ายด้วยเวทีระดมความคิดเห็นจากพันธมิตรธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชนของกลุ่ม TCP ในประเด็น

“สร้างสรรค์นวัตกรรม รวมพลังขับเคลื่อนความยั่งยืน” โดยคุณขจรศักดิ์ เปลี่ยนสกุล ผู้อำนวยการสายงานซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินงานด้านความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของ In Process คือในกระบวนการธุรกิจ และ After Process คือเรื่องที่นอกเหนือจากกระบวนการธุรกิจ โดยกลุ่มธุรกิจ TCP มีเป้าหมายความยั่งยืน 4 ด้าน ได้แก่  ความเป็นเลิศของผลิตภัณฑ์ (Product Excellence) ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน (Water Sustainability) 

คุณสาโรช ชยาวิวัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบเวอร์เรจแคน จำกัด กล่าวว่า TBC ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการผลิตกระป๋องอลูมิเนียมซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ทุกส่วนแบบ 100% อย่างไม่รู้จบ โดยไม่สร้างขยะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้กำหนดทิศทางกลยุทธ์และเป้าหมายระยะยาวในการบริหารจัดการความยั่งยืนขององค์กร คือ ‘TBC Sustainability Goals 2030’ (TBC SG 2030) ผ่านการยกระดับการดำเนินธุรกิจมุ่งสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมเศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และส่งเสริมยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio Economy, Circular Economy, Green Economy: BCG Model) โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย

อีกทั้งยังได้ริเริ่มโครงการ Aluminum Loop ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้บันทึกความร่วมมือ (MOU) ส่งเสริมการผลิตบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มที่สามารถรีไซเคิลได้ ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมและกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับมูลนิธิการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (3R), สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย, มหาวิทยาลัยมหิดล, บริษัท ไทยเบเวอร์เรจ แคน จำกัด, บริษัท ยูเอซีเจ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แองโกล เอเชีย เทรดดิ้ง จำกัด เพื่อส่งเสริมการเก็บกลับกระป๋องอลูมิเนียมใช้แล้วเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแบบครบวงจรในประเทศไทย หรือเรียกว่า (Close-Loop Recycling)

ด้าน ดร.บุตรา บุญเลี้ยง Head of Climate Resilience Office and Head of Technology Strategy and Portfolio Management บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน SCGC มีความตั้งใจสองเรื่องหลัก ๆ คือ จะทำ Green Polymer พอร์ตฟอลิโอให้ถึงหนึ่งล้านตันภายในปี 2030 และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน 20% จากปี 2021 ซึ่งจะต้องทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมอื่น เช่น ลูกค้า Certifier การขนส่ง และอื่น ๆ เพื่อทำให้มี Carbon Footprint น้อยที่สุด 

ขณะที่คุณภคมน สุภาพพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมตลาดคาร์บอนและนวัตกรรม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ จึงต้องมีการพัฒนากระบวนการวัดการลด เพื่อให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการลด Carbon Footprint และชดเชยต่อไปได้ ดังนั้น องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก จึงได้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มการคำนวณและการรับรอง Carbon Footprint ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น การมีฉลาก Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ เพื่อรับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็น Circular economy 

นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรธุรกิจจากภาคส่วนต่าง ๆ ได้เสนอความเห็นในด้านต่าง ๆ ให้เห็นถึงบทบาทในการรวมพลังขับเคลื่อนความยั่งยืนในวิธีการที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น ภาคการศึกษา ภาคส่วน Entertainment องค์การระหว่างประเทศ และองค์กรสหประชาชาติ (อ่านเพิ่มเติม)

อย่างไรก็ตามโลกกำลังเผชิญความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างถ้วนหน้า ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ จึงหันมาให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และกุญแจสำคัญสู่เป้าหมายความยั่งยืนคือ “ทุกภาคส่วน” จะต้องร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันการสร้างความยั่งยืนให้แก่สังคมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม





ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สรุป 35 ความเสี่ยงจาก Global Risks Report 2025 ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

เจาะลึก Global Risks Report 2025 โดย World Economic Forum วิเคราะห์ 35 ความเสี่ยงระดับโลกที่สำคัญ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม และเทคโนโลยี พร้อมแนวโน้มสำคัญในปี 2025, 2027 แ...

Responsive image

บางจาก ได้สินเชื่อรายแรกในไทย 6,500 ล้านบาทเพื่อพัฒนา SAF จากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย

ธนาคารยูโอบี มอบสินเชื่อ 6,500 ล้านบาท สนับสนุนบางจากฯ พัฒนาโครงการน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) แห่งแรกในไทย ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด 80% เพื่อเป้าหมาย Net Zero 20...

Responsive image

One Bangkok จับมือ 5 สถาบันการเงินชั้นนำ รับดีล Green Loan สูงสุดในประวัติการณ์เพื่อพัฒนาโครงการ

One Bangkok ประกาศลงนามสัญญาสินเชื่อสีเขียวระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงการมูลค่า 5 หมื่นล้านบาทร่วมกับ 5 สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศ...