10 เรื่อง ‘เจ็บ พลาด พัง’ ของอัจฉริยะ Elon Musk | Techsauce

10 เรื่อง ‘เจ็บ พลาด พัง’ ของอัจฉริยะ Elon Musk

Elon-Musk-Failure คนทั่วโลกรู้ว่า Elon Musk (อีลอน มัสก์) เป็นอัจฉริยะนักคิดที่คลั่งไคล้เรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างหนัก ทั้งยังมีลูกบ้า มีไอเดียล้ำเกินกว่าใครจะคาดคิด ที่เจ๋งสุดคือเขาไม่เคยหยุดอยู่แค่ภาพจินตนาการ ด้วยการมุ่งทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำ ปฏิวัติมันทุกอุตสาหกรรมจนทำให้สะเทือนไปทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง PayPal ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์, สร้างรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า Tesla, ตั้งบริษัท SpaceX เพื่อขนส่งของและคนไปดาวอังคาร และก่อตั้ง SolarCity บริษัทรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์, หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ตามบ้านเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

ล่าสุด Musk เป็นเศรษฐีหมื่นล้านดอลลาร์ ติดอันดับเศรษฐีคนที่ 80 ของโลกจากการ Ranking ของนิตยสาร Forbes โดยสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของเขาคือ มันสมองและวิสัยทัศน์ แต่ก่อนที่ Musk จะประสบความสำเร็จจนผู้กำกับหนังเรื่อง Iron Man มีเขาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างตัวละคร Tony Stark เขาเคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความล้มเหลวและอุปสรรคหนักๆ มาเพียบ!

นี่เป็นสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ และทุกข้อล้วนส่งผลให้ Musk เป็น Musk อย่างทุกวันนี้

1. เคยโดนแกล้งหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล

Musk เกิดที่แอฟริกาใต้เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1971 มีพ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นนางแบบ การที่พ่อเป็นวิศวกรทำให้ Musk สนใจโปรแกรมคอมพิวเตอร์และขลุกอยู่กับหนังสือหนักมากจนเรียกได้ว่าเป็นเด็กเนิร์ด และเขาก็ชอบเรียนรู้ด้วยตัวเอง คิดประดิษฐ์โปรแกรมจริงจังตั้งแต่เด็ก เช่นการคิดซอฟต์แวร์เกม Blaster ตอนอายุ 12 ปี แล้วก็ขายให้นิตยสารคอมพิวเตอร์ในราคา 500 ดอลลาร์

การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่สนใจทำให้ Musk เข้าสังคมไม่เก่งและอ่อนต่อโลก จึงถูกเด็กนักเรียนด้วยกันหลอกและแกล้งได้ง่าย ชีวิตในวัยเด็กของ Musk จึงมีแต่ความทุกข์เพราะโดนแกล้งบ่อย ที่แรงๆ ก็คือ ถูกจับโยนลงบันไดแล้วก็ถูกทุบตีต่อจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งอาการบาดเจ็บในตอนนั้นทำให้ Musk มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจมาถึงตอนนี้

2. สมัครงานไม่ได้งาน

น้อยคนนักจะรู้ว่า Musk เคยสมัครงานที่ Netscape บริษัทผู้คิดค้นเว็บเบราเซอร์โอเพนซอร์สชั้นนำ แต่สมัครแล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ เนื่องจากเขาไม่มี Background ด้าน Computer Science

Musk มีดีกรีปริญญาตรีใบแรกด้านฟิสิกส์และใบที่สองด้านเศรษฐศาสตร์จาก Wharton School เขาเรียนเก่งแต่เป็นคนขี้อาย ขนาดที่ว่าไปถึงออฟฟิศ Netscape เพราะอยากทำงานที่นั่น แต่ไม่กล้าคุยกับใครก็เลยกลับ

3. ก่อตั้ง Zip2 แต่ไม่มีสิทธิบริหาร

ตอนอายุ 24 Musk เรียนต่อด้านฟิสิกส์ประยุกต์และวัสดุศาสตร์ที่ Stanford University แต่เรียนได้ 2 วันก็ลาออก เพราะคิดว่าเอาเวลาเรียนไปตั้งบริษัท ไปเป็นผู้ประกอบการเองเลยดีกว่า โดยมีความสนใจ 3 ด้านคือ อินเทอร์เน็ต, พลังงานสะอาด และอวกาศ

ด้วยสปิริตที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการ Musk กับน้องชายจึงร่วมกันก่อตั้ง Zip2 Corporation บริษัทผู้พัฒนาเว็บไซต์รวมข้อมูลธุรกิจต่างๆ (คล้าย Yello Pages) ขึ้นเมื่อปี 1995 โดย Musk เป็นซีอีโอ แต่บอร์ดบริหารมองอนาคตแล้วเห็นว่า บริษัทเป็นของ Musk ก็จริง แต่ก็ไม่ควรให้เขาดำรงตำแหน่ง เพราะไม่มีประสบการณ์การเป็นซีอีโอ คนอื่นเป็นจะเหมาะกว่า Musk อยากเป็นแต่ไม่มีใครยอมรับก็ต้องสละเก้าอี้ โดยเขาก็ยังถือหุ้นอยู่

แล้วในที่สุดกิจการ Zip2 ก็ถูกขายต่อให้ Compaq ด้วยมูลค่า 341 ล้านดอลลาร์ Musk ได้ส่วนแบ่ง 7% คิดเป็น 22 ล้านดอลลาร์ เขาจึงได้เป็นเศรษฐีตอนอายุ 28 ปี

Elon-Musk_PayPal

ภาพจาก Boombeat.com

4. ไม่ลงรอยกับ CTO ก็ต้องออก!

ในปี 1999 Musk ร่วมก่อตั้ง X.com ธนาคารออนไลน์ขึ้น เพราะเห็นว่าการโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ตน่าจะเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต โดยนำเงินจากการขาย Zip2 10 ล้านดอลลาร์มาตั้งบริษัท ผ่านไป 1 ปี ก็ซื้อบริษัท Confinity ซึ่งเป็นเจ้าของบริการโอนเงินที่มีชื่อว่า PayPal มาควบรวมกับ X.com จากนั้น Musk กับผู้ร่วมก่อตั้งก็โฟกัสที่ PayPal และมุ่งให้บริการจ่าย/โอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ตทั่วโลกโดยสร้างชื่อ PayPal ขึ้นมา

เดือนเมษายน ปี 2000 Musk ได้รับการแต่งตั้งเป็นซีอีโอบริษัท PayPal แต่ต่อมามีปัญหาถกเถียงอย่างหนักกับ Max Levchin, CTO บริษัท เกี่ยวกับระบบปฏิบัติการว่าจะใช้ Windows หรือ Unix ความไม่ลงรอยนี้เองที่ทำให้ Musk ถูกปลดออกจากตำแหน่งซีอีโอในระหว่างที่เขาไปฮันนีมูนซะด้วย

หลังจากนั้น PayPal ก็ถูก eBay ซื้อกิจการในปี 2002 ในราคา 1.5 พันล้านดอลลาร์ โดย Musk ได้เงิน 165 ล้านดอลลาร์จากการปันผลหุ้น eBay

5. พักร้อนแต่กลายเป็นพักรักษาตัว

ขณะที่พักร้อนในแอฟริกาใต้  Musk พบกับประสบการณ์เฉียดตายเพราะป่วยเป็นโรค Cerebral Malaria (ไข้มาลาเรียขึ้นสมอง) จากการติดเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งทำให้มีโอกาสเสียชีวิตถึง 20% แม้ว่าจะได้รับการรักษาแล้ว และโรคนี้ก็ทำให้ Musk ต้องพักรักษาตัวยาวถึง 6 เดือน น้ำหนักหายไปถึง 45 ปอนด์

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ Musk ไม่อยากจะพลาดอะไรอีก จึงเปลี่ยนมาโฟกัสในเรื่องที่อยากจะทำและเรื่องพลังงาน ซึ่ง Musk เคยพูดติดตลกถึงเรื่องที่ป่วยหนักไว้ว่า “นั่นเป็นบทเรียนของผมจากการพักร้อน : พักร้อนอาจจะฆ่าคุณได้"

6. เรื่องเศร้าเกี่ยวกับลูกที่ไม่อยากพูดถึง

ใครจะรู้ว่า Musk เสียลูกคนแรก Nevada Alexander ในเดือนพฤษภาคม ปี 2002 ซึ่งเป็นลูกชายที่เกิดกับ Justine Wilson โดย Alexander ป่วยเป็นโรค Sudden Infant Death Syndrome (โรคไหลตายในทารก) ขณะที่มีอายุเพียง 10 สัปดาห์

ความเศร้าเสียใจครั้งนี้ทำให้ Musk ไม่พูดถึงลูกคนแรกอีกเลย

7. บินไปเสนองานแต่โดนปัดตก

ปี 2001 Musk มีคอนเซ็ปต์ ‘Mars Oasis’ โปรเจกต์ที่จะสร้างอาณานิคมบนดาวอังคาร เขากับทีมงานจึงเดินทางไปยังรัสเซียเพื่อหา Inter-Continental Ballistic Missiles (ขีปนาวุธข้ามประเทศ) ซึ่งเขาจินตนาการไว้ว่าอยากสร้างจรวดที่จะ Transport สิ่งของและพาคนออกไปท่องโลก ไปอยู่ที่ดาวอังคาร

แต่เมื่อเขาบินไปเสนอโปรเจกต์กับ 2-3 บริษัทในรัสเซีย Musk ก็ถูกปฏิเสธจากทุกที่ ผ่านไป 6 เดือน Musk เดินทางกลับไปยังรัสเซียอีกครั้งเพื่อเสนอโปรเจกต์เดิม แต่ครั้งนี้ Musk กับทีมได้รับข้อเสนอว่า มีค่าใช้จ่ายในการยิงจรวด 1 ลำ 8 ล้านดอลลาร์ แต่ Musk มองว่าแพงเกินไป ดีลจึงไม่เกิด

และในระหว่างไฟลท์กลับจากมอสโควนั้นเอง Musk ก็คิดว่าจะสร้างบริษัทใหม่ที่ทำให้การเดินทางด้วยจรวดอยู่ในงบประมาณที่มีคน Affordable ได้ จึงก่อตั้งบริษัท SpaceX ขึ้น

SpaceX

ภาพจาก AviationCV.com

8. ทำโปรเจกต์ SpaceX พังซ้ำๆ

เดือนมิถุนายน 2002 Musk ก่อตั้ง SpaceX ธุรกิจขนส่งทางอวกาศ เขาลงทุนกับ SpaceX มหาศาลด้วยเงินที่ได้จากการขาย PayPal ซึ่งการปล่อยจรวดส่งยานอวกาศ 3 ครั้งแรกนั้นล้มเหลวเพราะจรวดกลับสู่โลกแล้วระเบิด นักลงทุนจำนวนมากเริ่มไม่เชื่อในตัว Musk ขณะนั้นบริษัทก็มีทุนเหลือให้ Musk ปล่อยจรวดได้อีกเพียงครั้งเดียว ยิ่งสถานภาพบริษัทเกือบเข้าสู่สภาวะล้มละลาย ยิ่งทำให้ Musk เครียดหนัก แต่โชคก็เข้าข้างเขา ผลของการเรียนรู้และพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งทำให้การปล่อยจรวดครั้งที่ 4 กลับมาลงจอดได้ เกิดเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ SpaceX จึงได้รับความสนใจจาก NASA และ NASA ขอเซ็นสัญญาด้วยเงิน 1.6 พันล้านดอลลาร์ SpaceX จึงได้เงินมาต่อธุรกิจ ความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมขึ้นเองทำให้บริษัทสามารถส่งจรวดที่มีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ใน 3 ส่วนเมื่อเทียบกับราคาของบริษัทอื่น ซึ่งต่อมา Musk ยังสร้าง Reusable Rockets (จรวดที่นำกลับมาใช้ใหม่) ได้สำเร็จ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการเดินทางไปอวกาศได้หลายร้อยเท่า

ครั้งหนึ่ง Musk เคยตอบคำถาม Scott Pelley ในรายการ ‘60 Minutes’ ว่า คุณบอกว่า ไม่ได้คาดหวังว่าการก่อตั้ง Tesla จะต้องประสบความสำเร็จ แล้วทำทำไม? Musk ตอบว่า

If something's important enough you should try. Even if you - the probable outcome is failure. ถ้าบางอย่างสำคัญมากพอก็น่าลอง แม้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะล้มเหลวก็ตาม

9. คำนวณต้นทุนผิด ชีวิตเปลี่ยน

Musk ก่อตั้ง Tesla Motors บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2003 โดยมีจุดมุ่งหมายในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกสู่ตลาดในราคาที่เหมาะสม โดยรถคันแรกชื่อ Roadster มีประสิทธิภาพสูง แต่ราคายังไม่เหมาะ การเปิดตัวรถรุ่นแรกก็ล่าช้า บริษัทจึงต้องประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก

แล้วปี 2008 ก็เป็นปีที่แย่ที่สุดของ Musk เพราะต้นทุนการผลิตรถสูงเกือบ 2 เท่าของราคาที่คาดการณ์ไว้ ทำให้บริษัทมีเงินไม่พอสำหรับการผลิต Musk จึงยอมเสี่ยงด้วยการทุ่มเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตเพื่อสู้ต่อ แล้วโชคก็เข้าข้างอีกครั้ง เพราะรถยนต์ไฟฟ้าได้รับการรีวิวว่าดีเยี่ยมในด้าน Performance ทำให้ Tesla ได้รับความสนใจจากตลาด แล้วเขาก็พัฒนารถออกมาอีกหลายรุ่น เช่น Model S, Model X, Model 3 รวมถึงยานยนต์ไร้คนขับ

Tesla-roadster

ภาพจาก Jalopnik

10. เงินไม่เหลือจนต้องยืมเพื่อน

อีกช่วงชีวิตแย่ๆ ของ Musk คือหลังจากลงเงินทั้งหมดที่มีไปกับธุรกิจ Tesla และ SpaceX จนแทบไม่เหลือ เขาอยู่ได้ด้วยเงินที่ไปยืมมาจากเพื่อนตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2009 ยิ่งกว่านั้น บริษัท Tesla ก็ขาดสภาพคล่องจนต้องไปกู้ยืมเงินจาก The United States Department of Energy จำนวน 465 ล้านดอลลาร์

ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์กระเป๋าแฟบ Musk คิดว่า Tesla จะเป็นหนทางรอดครั้งใหญ่ที่เกิดจากเงินลงทุนส่วนตัว แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น และนอกจากด้านธุรกิจแล้ว การหย่าร้างกับภรรยาในปี 2008 ก็มีส่วนซ้ำเติมให้ชีวิตของเขาระทมทุกข์ขึ้นไปอีก แต่ในท้ายที่สุดธุรกิจ Tesla ก็ช่วยเขาไว้ โดยชำระหนี้การเดินทางและให้สิ่งตอบแทนแก่ Musk เป็นหุ้น 6.7 ล้านหุ้น

Musk จึงเหมือนคนที่เรียนรู้จาก ‘ความล้มเหลว’ จนประสบความสำเร็จ และเขาเคยพูดถึงความล้มเหลวไว้ว่า

Failure is an option here. If things are not failing, you are not innovating enough. ความล้มเหลวเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องเจอ ถ้าสิ่งที่ทำยังไม่เคยผ่านความล้มเหลว แปลว่าคุณยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งสิ่งนั้นให้ดีมากพอ

Musk มีลูกทั้งหมด 5 คนที่เกิดจากภรรยาคนแรก (หากรวมคนที่เสียชีวิตไปจะเป็น 6) ต่อมาได้แต่งงานกับ Talulah Riley ภรรยาคนที่ 2 เมื่อปี 2010 ทั้งคู่หย่าร้างกันในปี 2012 แต่แล้วกลับมาแต่งกันใหม่ในปี 2013 และหย่ากันอีกครั้งในปี 2016

Elon-Musk-People

ภาพจาก Eric Ogden

แม้ไม่ประสบความสำเร็จในการมีชีวิตคู่ แต่ Musk ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับ 3 ธุรกิจ ได้แก่ Tesla, SpaceX, SolarCity และเขาก็ยังมี passion อย่างแรงกล้าที่จะคิดสิ่งใหม่ๆ เพื่ออนาคตอยู่เสมอ เช่น  Hyperloop นวัตกรรมการเดินทางรูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนยานพาหนะอย่างรวดเร็วด้วยแรงดันอากาศ เพื่อลดระยะเวลาการเดินทาง ซึ่งคาดว่าจะได้ใช้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า OpenAI บริษัทเพื่อการวิจัยปัญญาประดิษฐ์โดยไม่แสวงผลกำไร Neuralink บริษัทที่จะเชื่อมสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์โดยตรง เพื่อรักษาอาการผิดปกติทางระบบประสาทของมนุษย์โดยการปลูกถ่ายสมอง, การออกคำสั่งผ่านสมอง, การถ่ายข้อมูลจากสมองไปเก็บไว้ เป็นต้น

เชื่อว่า Musk บุคคลอัจฉริยะของโลกยังมีอะไรที่จะเซอร์ไพรส์เราอีกมาก รอแต่เวลาเท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยมันออกมา

ที่มาของเรื่องและภาพ Yourstory, Business Insider, Biography, Wikipedia

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image
Responsive image

9 ทักษะดิจิทัล ปี 2024 สร้างมูลค่าให้บริษัทด้วย Tech Skills แห่งอนาคต

ทักษะดิจิทัล หรือทักษะด้านเทคโนโลยี (Tech Skills) ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็วและแม่นยำ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด...

Responsive image

AI ล้ำหน้าหรือภัยอนาคต? แล้วมนุษย์จะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อ | Tech for Biz EP.17

ในยุคที่ AI เติบโตอย่างรวดเร็ว จนมีการคาดการณ์ว่ากว่า 300 ล้านตำแหน่งจะหายไป คำถามคือ คุณจะยืนอยู่ฝ่ายไหนระหว่างเหยื่อที่ถูกแทนที่ หรือนักล่าที่ใช้ AI เป็นเครื่องมือ? แล้วต้องปรับต...