KBTG Techtopia: At World’s Beginning งานประชุมด้านเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ผู้นำด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แต่ปีนี้อลังการงานสร้างมากกว่าที่ผ่านมา เพราะมี 3 เวทีใหญ่ที่ Speakers ทั้งไทยและเทศมาร่วมพูดคุยและนำเสนอคอนเทนต์ในแง่มุมที่ลึกและกว้าง, มี Playground Workshop กิจกรรมอบรมสุดเข้มข้นโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมจนเต็มทุกห้อง, Community Circle โซนพูดคุยแลกเปลี่ยน เชื่อมคอนเนกชันกับคอมมูนิตี้สายเทค โดยมีผู้เข้าร่วมงานจากหลากหลายอุตสาหกรรมรวมแล้วกว่า 4,000 คน
งาน KBTG Techtopia ปีที่ 3 จัดขึ้นในวันที่ 2 กันยายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
สำหรับ KBTG Techtopia ปีที่ 3 จัดขึ้นภายใต้ธีม ‘At World’s Beginning’ เมื่อโลกใบเดิมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คนและเทคโนโลยีจะร่วมมือกันอย่างไรเพื่อไปต่อ เป็นงานที่ชวนผู้ร่วมงานมาสำรวจการเริ่มต้นใหม่และจุดประกายความหวังในการสร้างสรรค์วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าโดยผสานพลังของมนุษย์และเทคโนโลยีเกิดใหม่ โดยเฉพาะ AI เพื่อปลดล็อกความเป็นไปได้แบบไม่มีจุดสิ้นสุด

คุณเรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) เปิดเผยว่า KBTG Techtopia ปีที่ 3 ชี้ให้เห็นถึงทางแยก AI ที่มีมนุษย์เป็นผู้กำหนดอนาคต ตั้งแต่การมาถึงของ Agentic AI การกำกับดูแลอย่างจริงจังทั้งด้านหลักการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ (Governance) การปรับให้สอดคล้องกับคุณค่ามนุษย์ (Alignment) การควบคุมภายในขอบเขตจริยธรรม (Containment) รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการใช้งานจริง การไล่ตาม Artificial General Intelligence (AGI) และความร่วมมือระดับโลกจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมีเรื่องปริมาณทรัพยากรพลังงานที่ใช้ และการใช้ AI เพื่อลดความเหลื่อมล้ำโดยไม่จำกัดการเข้าถึงแค่กลุ่มคนมีฐานะ
คุณกระทิงเน้นย้ำว่า การเปลี่ยนแปลงด้วย AI ที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวม โดยเปลี่ยนจาก +AI (การนำ AI เข้าไปเสริมระบบเดิม) เป็น AI+ (ใช้ AI เป็นแกนหลัก แล้วนำสิ่งต่างๆ มาเสริม) และยังหยิบยกประเด็น ‘ทางแยก AI 6 ข้อที่ ‘การตัดสินใจของมนุษย์’ มีความสำคัญอย่างยิ่ง มาให้ทุกคนนำไปขบคิดต่อ ดังนี้

ในด้านไฮไลต์ของงาน คือ การพูดคุยระหว่าง คุณเรืองโรจน์ พูนผล และ Dr. Andrew Ng, Managing General Partner ของ AI Fund ที่แม้ปีนี้จะไม่ได้มาเยือนไทยด้วยตัวเอง แต่ฝากสาระความรู้และคำแนะนำมาให้ผู้ร่วมงานทุกคน ในหัวข้อ Al's Next Frontier: Transitioning from Hype to Impact ดังนี้

ผู้เข้าร่วมงานยังรับฟังหัวข้อต่าง ๆ จาก Speakers ชั้นนำผ่าน 3 เวทีใหญ่ได้ตามความสนใจ อาทิ ศาสตราจารย์ Danielle Wood หัวหน้าผู้ก่อตั้งหน่วยวิจัย Space Enabled ที่ MIT Media Lab, Kevin Wei Wang, Senior Partner จาก McKinsey & Company และ Cindy Chow, Executive Director และ CEO จาก Alibaba Entrepreneurs Fund, คุณธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระ Bluebik Group คุณธีรพงษ์ วิชญเรืองรมย์ รองกรรมการผู้จัดการ Strategic and Digital Transformation จาก AXONS ฯลฯ
นอกเหนือจากนี้ Playground Workshop ก็มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมแน่นห้องจนไม่สามารถ Walk in ได้ และ Community Circle พื้นที่สำหรับคอมมูนิตี้ชาวเทคสาย AI, Data ที่จัดขึ้นแบบเป็นกันเองและคึกคักตลอดวัน

KBTG Playground Workshop

Community Circle
ฝั่งบูธแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมของ KBTG เอง แบ่งออกเป็น KBTG Labs และ KX โดยฝั่ง KBTG Labs แสดงนวัตกรรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือทดสอบ ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสามารถทดลองใช้ผ่าน Demo ที่จัดแสดงในงาน ไม่ว่าจะเป็น Future You แพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้ผู้ใช้งานสนทนากับตัวตนเสมือนจริงของตัวเองในอนาคต, ThaLLE โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เชี่ยวชาญภาษาไทยและการเงิน รวมถึงนวัตกรรม Multiple You, Talk to your Hand, Kookid ฯลฯ



และอีกจุดที่โดดเด่นในบูธ KBTG Labs คือ นวัตกรรมที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง KBTG และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แก่ AI LUCA นวัตกรรมสำหรับการเรียนการสอน เพื่อสนับสนุนการทำงานด้านวิชาการ วิชาชีพ สังคม และ Virtual Patient ต้นแบบจำลองเสมือนจริงสำหรับการเรียนรู้ให้แก่นักศึกษาแพทย์

ส่วนฝั่ง KX แสดงผลิตภัณฑ์และบริการที่มีการใช้งานในเชิงพาณิชย์แล้ว เช่น AINU โซลูชันด้าน AI สำหรับภาคธุรกิจ ที่นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์แบบครบวงจร, เหมียวจด (MeowJot) แอปพลิเคชันจดรายจ่ายอัตโนมัติจากสลิปโอนเงิน
สำหรับ AINU ที่จัดแสดงในปีนี้ อัปเดตจากปีที่แล้วในด้านการยกระดับความปลอดภัยให้แก่องค์กร ด้วยฟีเจอร์ชุดใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยให้ลูกค้าองค์กรที่ใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยเน้นไปที่ 3 ส่วนหลัก คือ



[Keynote] Future of AI and its Implications for Business, Economy, and Humanity โดย Kevin Wei Wang จาก McKinsey & Company
Kevin Wang กล่าวถึงนวัตกรรม AI ที่เร่งตัวขึ้นและยุคของเทคโนโลยี 'Agent' ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มผลิตภาพได้ 15-20 เท่า โดย AI จะสามารถเข้าใจบริบท ทำงานร่วมกัน เรียนรู้ และให้เหตุผลได้ เขาชี้ให้เห็นว่าแม้ 88% ขององค์กรจะใช้ AI แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญหรือดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ เนื่องจากโครงการที่กระจัดกระจาย, ทีมที่ทำงานแยกส่วน, ปัญหาผู้นำและวัฒนธรรม, โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ, ช่องว่างด้านทักษะ, และความกังวลด้านความเสี่ยงและจริยธรรม McKinsey แนะนำแนวทางการเปลี่ยนแปลง AI แบบจัดลำดับความสำคัญตามโดเมน โดยเน้นการกำหนดกระบวนการทางธุรกิจใหม่ เขายังกล่าวถึงการแทนที่งานในบางภาคส่วน แต่ก็มองว่าเป็นโอกาสให้มนุษย์มุ่งเน้นงานที่มีมูลค่าสูงขึ้น สุดท้าย เขาย้ำถึงความจำเป็นที่มนุษยชาติต้องเตรียมพร้อมสำหรับ AGI ผ่านการกำกับดูแลและธรรมาภิบาล

[Keynote] Cyborg Intelligence: Designing Human-AI Interactions for Human Flourishing โดย ดร. พัทน์ ภัทรนุธาพร Co-director of MIT Advancing Humans with AI Research Program & Assistant Professor จาก MIT Media Lab
ดร.พัทน์นำเสนอแนวคิด ‘Cyborg Intelligence’ ซึ่งมองว่ามนุษย์และ AI เป็นระบบปัญญาที่หลอมรวมเข้าด้วยกัน และตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีจะนำไปสู่ ‘ปัญญาขั้นสุดยอด’ (Super Intelligence) หรือ ‘ความโง่เขลาขั้นสุดยอด (Super Stupidity) ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างไร โดยสิ่งที่ ดร.พัทน์วิจัยนั้น เน้นไปที่ 3 เสาหลัก คือ
ดร.พัทน์ปิดท้ายด้วยความย้อนแย้งที่ว่า เทคโนโลยีมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่มนุษย์ปฏิบัติต่อกันน้อยลง ดีต่อกันน้อยลง ราวกับเห็นมนุษย์เป็นหุ่นยนต์ ดังนั้น จึงมุ่งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI เสริมสร้าง ‘ความเป็นมนุษย์’ ให้มากยิ่งขึ้น

[Fireside Chat] Southeast Asia's Al Moment - Building Capabilities and Ecosystem, Shaping the Future โดย Pham Vu Hung, Product Manager, FPT Smart Cloud ประเทศเวียดนาม และคุณพงศณิภา กมลนาวิน Partner & VC Investment, KBTG
Pham กล่าวถึงเทคโนโลยี AI และภาพรวมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ว่ามีโอกาสอย่างมากในการสร้าง ‘AI Moment’ ของตัวเอง และมองว่า AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพให้ภาคธุรกิจและช่วยกระตุ้น GDP ของแต่ละประเทศได้ประมาณ 12-15% ภายในปี 2030 และในระยะยาว เป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือ การทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้ง่ายขึ้น อย่างด้านการศึกษา เช่น การเรียนออนไลน์ ด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากระยะไกล
อีกด้านหนึ่ง Pham บอกว่าภูมิภาคนี้มีความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ ‘ความหลากหลายทางภาษา’ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนา AI ระดับภูมิภาค โดยยกตัวอย่างการที่ FPT สร้างแชตบอตให้ทำงานได้ดีในภาษาเวียดนาม แต่กลับต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมากเมื่อต้องการปรับให้เข้ากับภาษาอื่น เช่น ภาษาญี่ปุ่น ดังนั้น โซลูชัน AI ที่เกี่ยวกับภาษา อย่างแชตบอต, OCR, Voice Agent อาจต้องร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นต่าง ๆ (Local Partners) เพื่อเพิ่มความเข้าใจในระบบภาษาที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

ต่อด้วยการเน้นย้ำถึงความคล้ายคลึงกันด้านการใช้งาน AI ระหว่างไทยและเวียดนาม ที่มีการใช้จริงในภาคอุตสาหกรรม ทว่ามีสิ่งต้องตระหนักอีกด้านคือ ภูมิภาคนี้มีประเทศที่มีประชากรจำนวนมากและประชากรจำนวนน้อย จึงมีความแตกต่างทั้งในแง่ของขนาด ปัญหา และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับ AI เช่น เวียดนาม ไทย ซึ่งมีประชากรเป็นอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ การนำแอปพลิเคชัน AI ไปใช้กับพลเมืองระดับ 100 ล้านคน จึงมีต้นทุนต่างจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้
Pham เล่าอีกว่า เวียดนามมีการใช้ AI ในชีวิตประจำวันแพร่หลายในระดับ Large Scale เช่น จะเปิดบัญชีธนาคารต้องทำ eKYC, การโอนเงินจำนวนหนึ่งต้องยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (Face Authentication), ตามบ้าน อาคาร ร้านค้า ติดกล้อง AI เพื่อตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ หรือใช้สั่งเปิดลิฟต์ ปิดประตู ได้ด้วยการสแกนหน้า, เด็กๆ มี AI ช่วยสร้างบทเรียนออนไลน์ ทั้งยังสามารถใช้เสียงหรือท่าทางแทนการคลิกเมาส์, โรงพยาบาลรัฐเริ่มใช้ AI ช่วยวินิจฉัยโรคจากภาพเอ็กซเรย์หรือ CT Scan, วัดความดันโลหิตและชีพจรผ่านกล้องได้ด้วยแอป AI หรือบริการ Voice Agent ของ FPT เอง ที่สามารถโทรออกได้วันละหลายแสนครั้ง เพื่อเตือนเรื่องการฉีดวัคซีน, สำรวจความพึงพอใจของลูกค้า หรือแม้กระทั่งติดตามทวงหนี้

[Keynote] It's Not the Talent That's Missing: Building AI Research in Thailand Against Structural Odds โดย ดร.ศุภศรณ์ สุวจนกรณ์ อาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IST) สถาบันวิทยสิริเมธี (VISTEC) และนักวิจัยไทยที่ดังระดับโลกด้าน AI, Computer Vision และ Machine Learning
ดร.ศุภศรณ์แยกสิ่งที่จะพูดเป็นหัวข้อต่าง ๆ อย่างเรื่อง ความเป็นผู้นำด้าน AI ที่สหรัฐอเมริกาและจีนเป็นผู้นำด้านงานวิจัย AI ดูได้จากจำนวนผลงานตีพิมพ์ในระดับสูงสุด ขณะที่ประเทศไทยไม่ปรากฏในแผนที่ AI Rankings และหากเทียบกับประเทศที่มีประชากรน้อยกว่าไทย เช่น แคนาดา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย ล้วนมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ระดับท็อปมากกว่าไทยอย่างมาก
ปัญหาหลักของไทยคือ ขาดแคลนงานวิจัยระดับ Top Tier หรือผลงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลสูงสุด กล่าวคือ การตีพิมพ์ผลงานในงานประชุมวิชาการระดับโลก เช่น CVPR, NeurIPS, ICML ซึ่งหลังจาก ดร.ศุภศรณ์กลับมาอยู่ไทยในปี 2018 และเข้าทำงานเป็นอาจารย์ที่ VISTEC พบว่าประเทศไทยไม่มีงานวิจัยระดับท็อปในสาขา Computer Vision แม้แต่ผลงานเดียว ดร.ศุภศรณ์จึงตั้งข้อสังเกต ว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดคนเก่ง คนไทยเคยชนะรางวัล Best Paper Award ในงานประชุมระดับท็อปของโลกมาแล้วหลายคน แต่ปัญหาคือ ‘สมองไหล’ นักวิจัยไทยเก่ง ๆ มักจะไปสร้างผลงานและรับรางวัลในต่างประเทศ ไม่สามารถทำวิจัยหรือชนะรางวัลระดับท็อปในประเทศไทยได้ จนกระทั่งปี 2021 มีผลงานวิจัยชิ้นแรกได้ตีพิมพ์ (CVPR) นั่นคือ DiffusionLight การสร้างโมเดล 3D ที่สมจริงมากจากภาพถ่ายเป็นโมเดลที่มองได้ 360 องศา และแสดงผลแบบเรียลไทม์ เร็วกว่าเครื่องมืออื่นเป็นพันเท่า ที่สำคัญ สามารถแก้ปัญหาคลาสสิกในเรื่องแสงเงาของวัตถุที่มีความซับซ้อน เช่น แก้วน้ำ, Chromeball ได้อีกด้วย

ด้านการแก้ปัญหาเพื่อเพิ่มผลงานวิจัยและ Talent AI ดร.ศุภศรณ์เสนอแนวทางแก้ไข 2 ข้อ ข้อแรก เปลี่ยนระบบการให้ทุนและการประเมินผลงานวิจัยของประเทศไทย มาให้การยอมรับและให้คุณค่ากับผลงานตีพิมพ์ในงานประชุมวิชาการ AI ระดับสูงสุด แต่แนวทางนี้ถือเป็นแนวทางในอุดมคติ
ข้อสอง เมื่อไม่สามารถเปลี่ยนระบบได้ ให้สร้าง ‘สภาพแวดล้อมคู่ขนาน’ ขึ้นมาเพื่อส่งเสริมการวิจัย AI ระดับโลก โดยยกกรณีศึกษาของ VinAI สตาร์ทอัพด้าน AI จากเวียดนามที่ก่อตั้งในปี 2019 บริษัทลูกของ VinGroup ซึ่งมีภารกิจหลักในการสร้างผู้เชี่ยวชาญระดับสูง พัฒนาผลิตภัณฑ์ AI และที่สำคัญที่สุดคือ พาเวียดนามไปอยู่บนแผนที่ AI โลกด้วยการสร้างนวัตกรรมระดับโลก ซึ่งหลังจากปี 2019 ที่เวียดนามมีผลงานตีพิมพ์ 6 ฉบับ เพิ่มขึ้นเป็น 136 ฉบับในปี 2023 (ทั้งหมดเป็น Top Conference) มากกว่าผลงานตีพิมพ์ในไทยรวมกันตลอด 10 ปี! และความสำเร็จด้านผลงานวิจัยนี้เองที่ดึงดูดให้ NVIDIA เลือกไปลงทุนในเวียดนาม
เชื่อแน่ว่ากิจกรรมมากมายและโซนแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหนจาก KBTG รวมไปถึงของพาร์ตเนอร์เทคโนโลยีชั้นนำ ที่จัดแสดงในงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning จะช่วยปลดล็อกศักยภาพ ขยายขอบเขตความคิด และช่วยให้เห็นโอกาสหรือความเป็นได้ใหม่ๆ แก่ผู้เข้าร่วมงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังที่คุณเรืองโรจน์กล่าวในตอนท้ายว่า งานนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของโลกใบเดิม กับอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง และ KBTG จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอนาคตนั้นผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีความหมาย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่และผู้ประกอบการในทุกภาคส่วนต่อไป
#KBTG #KBTGTechtopia #AtWorldsBeginning
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด