ใกล้วันใช้มาตรการ EU CBAM แล้ว! เรื่องใหญ่ที่ผู้ประกอบการไทยต้องรู้และเตรียมรับมือภาษีคาร์บอน

CBAM

ขณะที่สหรัฐอเมริกาชะลอการขับเคลื่อนและดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน สหภาพยุโรป (EU) ครองตำแหน่ง 'ผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม' และเดินหน้าใช้ มาตรการภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (EU CBAM) อย่างเข้มข้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกของไทยเพิ่มมากขึ้นเป็น 2.8 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2573 

ปี 2568 -2573 จึงเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในด้านการปรับตัวของภาคธุรกิจ 3 ผู้บริหารจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงร่วมให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยในประเด็น 'ธุรกิจไทยยังต้องเตรียมพร้อมกับภาษี Carbon อีกหรือไม่' ซึ่ง Techsauce มีโอกาสไปร่วมรับฟังและนำข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยมาเพิ่มรายละเอียดและลิงก์ให้ผู้อ่านตามไปศึกษาความหมายหรือมิติที่ลึกขึ้นได้ 

ประเด็นที่ 1 มาตรการทั่วโลกและ CBAM

ดร.กฤตย์ สีตะธนี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เกริ่นถึง ข้อตกลงปารีส (2015) ที่กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 2°C และเพื่อติดตามผล จึงเกิดกลไกที่ประเทศต่างๆ ต้องรายงานความคืบหน้าทุก 5 ปี เรียกว่า NDC (Nationally Determined Contribution) หรือ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในความพยายามกำจัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์ 

KResearch

ในวันที่สหรัฐอเมริกาเน้นใช้พลังงานฟอสซิล หลายประเทศอย่างในยุโรป จีน และญี่ปุ่น ยังคงใช้ระบบ Cap-and-Trade / Emission Trading System (ETS) ที่มีการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวม แล้วจัดสรรสิทธิ์ในรูปของปริมาณก๊าซที่อนุญาตให้ปล่อยได้ เพื่อการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยคาร์บอน EU ก็คุมเข้มเรื่องการใช้มาตรการ EU CBAM และนี่คือ 4 ข้อหลักที่ผู้ประกอบการไทยควรรู้

  1. มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนของ EU CBAM จะบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 [นั่นหมายความว่า มีเวลาอีกเพียงสองเดือนกว่าเท่านั้น]

  2. 6 อุตสาหกรรมนำร่องที่จะโดนภาษีก่อน ได้แก่ อะลูมิเนียม, เหล็กและเหล็กกล้า, ปุ๋ย, ซีเมนต์, ไฟฟ้า และไฮโดรเจน [ในบรรดา 6 อุตสาหกรรม 'เหล็ก' จัดเป็นสินค้าที่มีความเปราะบางสูง]

  3. กลไกการคำนวณสินค้าที่ส่งออกไป EU จะถูกประเมินปริมาณการปล่อยคาร์บอน หากเกินมาตรฐานที่ EU กำหนด (หลังหัก Free Allowance) ผู้ส่งออกจะต้องเสียภาษีตามมูลค่า ETS ของ EU ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ตันละประมาณ 80 ยูโร [ราว 3,040 บาท]

  4. ผู้ประกอบการสามารถนำค่าภาษีที่จ่ายในประเทศมาหักลดหย่อนค่า CBAM ได้ หากประเทศผู้ส่งออกมีระบบภาษีคาร์บอนภายในประเทศที่บังคับใช้อยู่ 

เนื่องจาก EU เป็นผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ และมาตรการของ EU มักถูกประเทศอื่นนำไปใช้ตาม ดร.กฤษณ์เผยว่า จีน ญี่ปุ่น มีแนวโน้มนำมาตรการคล้าย CBAM มาใช้ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างมากในอนาคต ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนเพื่อคงความสามารถในการแข่งขัน 

ประเด็นที่ 2 สถานการณ์และความท้าทายของไทย 

คุณจักรี พิศาลพฤกษ์ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส  บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดประเด็นที่ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ ซึ่งในประเทศไทยมีการจัดทำ โครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) ปรากฏว่า มีการซื้อขายสูงสุดในปี 2022 จากนั้นมูลค่าชะลอตัวลงในช่วง 3 ปีหลัง ด้วยสัดส่วนการลดก๊าซเรือนกระจกที่น้อยมาก คือ 1.4% ของการปล่อยคาร์บอนทั้งประเทศ

KResearch

ในด้านการผลิตไฟฟ้า ไทยยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก ทำให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าสูงสุด (41%) ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 42 ล้านตันต่อปี ส่วนพลังงานสะอาดที่ไทยใช้ในการผลิตไฟฟ้านั้น คุณจักรีบอกว่า มีการใช้เพียง 14.3% เท่านั้น

ท่ามกลางความพยายามผลักดันการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด โครงสร้างตลาดคาร์บอนในภาคสมัครใจไทยยังเผชิญอุปสรรคและข้อจำกัดในการสร้างแรงจูงใจ จึงเห็นควรให้มีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อปลดล็อกข้อกำหนดบางอย่าง เช่น เรื่อง Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) หรือ สัญญารับซื้อไฟฟ้าตรง ซึ่งเป็นการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ เนื่องจากยังขาดความชัดเจนเรื่องค่าธรรมเนียมการใช้โครงข่ายและค่าจัดการความเสี่ยงจากการไฟฟ้า

หรืออาจออกกฎหมายภาคบังคับมาอุดช่องว่าง โดยเฉพาะ ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะทำให้ประเทศไทยมี Carbon Tax และระบบ Emission Trading Scheme (ETS) เพื่อกำหนดราคาคาร์บอน อย่างไรก็ดี ความล่าช้าในการบังคับใช้ ร่าง พ.ร.บ.ฯ หลัง EU CBAM ประมาณ 2 ปี อาจทำให้ไทยเสียโอกาสนำเงินค่าธรรมเนียมคาร์บอนมาเป็นกองทุนสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศแทนการจ่ายให้ต่างประเทศ  

ประเด็นที่ 3 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและความพร้อมของไทย

KResearch

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ตอกย้ำว่า EU CBAM มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมากยิ่งขึ้น จากปัจจุบันที่ครอบคลุมมูลค่าสินค้าเพียง 1.1 หมื่นล้านบาท อาจเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.8 หมื่นล้านบาทภายในปี 2573  และอธิบายผลกระทบจาก EU CBAM โดยแยกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะแรก (2569) - กระทบสินค้า 6 ประเภท คิดเป็น 1% ของมูลค่าส่งออกไทยไป EU ราว 1 หมื่นล้านบาท 
  • ระยะกลาง (ก่อน 2573) - EU อาจขยายขอบเขตสินค้า (เช่น Polymers, Metals) ซึ่งอาจเพิ่มผลกระทบอีก 1.7 หมื่นล้านบาท
  • ระยะยาว (หลัง 2573-2578) มีโอกาสสูงที่มาตรการภาษีจะรวมสินค้าเกษตร ซึ่งจะเพิ่มผลกระทบให้ประเทศไทยอีกราว 1 แสนล้านบาท

หากพิจารณาเรื่อง ความ(ไม่)พร้อมของธุรกิจไทย พบว่าราว 70% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ CBAM เริ่มดำเนินกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเหล็ก แต่การลดดังกล่าวยังไม่เพียงพอ และแม้ว่าผู้ประกอบการไทยจะพยายามปรับตัว แต่อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกว่าค่ามาตรฐานของ EU CBAM ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินว่า ผู้ส่งออกไทยอาจต้องเสียค่าปรับโดยเฉลี่ย 500,000 บาทต่อการส่งออกสินค้า 1 ล้านบาทไปยัง EU

หากคำนวณค่าปรับโดยเฉลี่ย กรณีที่มีการส่งออกสินค้ามูลค่า 1 ล้านบาทไปยัง EU ผู้ส่งออกไทยจะต้องเสียค่าปรับภาษีคาร์บอนประมาณ 500,000 บาท นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยยังสูงกว่ามาตรฐาน EU อย่างมาก โดยเฉพาะเหล็ก ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ของ EU CBAM ถึง 17 เท่า ดังนั้น ผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมเหล็กอาจเสียค่าปรับสูงสุดถึง 1.35 ล้านบาท ต่อการส่งออก 1 ล้านบาท

ประเด็นที่ 4 แนะวิธีปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ

  • อุตสาหกรรมที่ส่งออกไป EU โดยตรง เช่น เหล็ก, ปุ๋ย, ซีเมนต์ ต้องเร่งดำเนินการก่อน ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก EU CBAM สูงสุด เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และการลงทุนเพื่อเปลี่ยนเทคโนโลยีก็มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ยังเผชิญความท้าทายด้านการแข่งขันสูงร่วมด้วย

  • อุตสาหกรรมอื่นๆ ควรติดตามสถานการณ์กฎหมายอย่างใกล้ชิด และเริ่มเรียนรู้วิธีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะ SMEs อาจพิจารณาปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในสิ่งที่ทำได้ง่ายและประหยัดต้นทุนก่อน เช่น การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า, การจัดการของเสีย, การเลือกซัพพลายเออร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือที่เห็นผลลัพธ์ได้ง่ายที่สุดอย่าง การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านค่าไฟได้ทันทีและช่วยให้ธุรกิจ 'กรีนขึ้น' โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก

  • เนื่องจากไทยยังไม่มีกลไกที่จะนำค่าภาษีภายในประเทศมาหักลบ CBAM ได้ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอาจต้องพิจารณาลดการส่งออกไปยัง EU หรือบริษัทขนาดใหญ่อาจซื้อคาร์บอนเครดิตจากต่างประเทศมาชดเชย

ฝั่งภาครัฐและสถาบันการเงิน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเสนอว่า ภาครัฐควรเร่งออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น แผน PDP ด้านพลังงานหมุนเวียน, กองทุนภูมิอากาศ ส่วนสถาบันการเงินสามารถสนับสนุนผ่านสินเชื่อสีเขียวและการให้ความรู้หรือจัดอบรมให้แก่ผู้ประกอบการ

สรุปแล้วผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ 'ผู้ส่งออก' ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมรับมือมาตรการภาษีคาร์บอนที่กำลังจะมาถึง ซึ่งทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้คำแนะนำว่า ตอนนี้ผู้ประกอบการไทยมีสองทางเลือกคือ 'รอ' หรือ 'ลุย' คือจะรอให้กฎหมายและแรงกดดันจากต่างประเทศบังคับ หรือเริ่มและลงมือทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบ ลดความเสี่ยง และเตรียมรับภาษีคาร์บอน และที่สำคัญ ภาครัฐมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านนี้ 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอดบทเรียนมาเลเซีย-เวียดนาม ใช้ Hardware-in-the-Loop (HIL) สร้างนวัตกรรมให้ชาติอย่างไร

โลกวิศวกรรมยุคใหม่ไม่เสี่ยงบนของจริง แต่หันไปใช้ HIL (Hardware-in-the-Loop) หรือสนามซ้อมดิจิทัล เพื่อทดสอบหายนะนับพันครั้งในแล็บที่ปลอดภัย 100% เรากำลังตามหลังเพื่อนบ้านในเกมนี้จริ...

Responsive image

อนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ผ่าน 3 ซีอีโออุตสาหกรรมและการเงิน จากฐานการผลิตสู่นวัตกรรมขับเคลื่อนอาเซียน ท่ามกลางสมรภูมิ FDI โลกเดือด

สรุปเวทีเสวนา "Thailand: Shaping ASEAN's Next Frontier" ถอดรหัสอนาคตเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น จากมุมมองผู้นำ อมตะ, ฮอนด้า, และกรุงศรี ชี้ 'ผู้นำ', 'นวัตกรรม', และ 'การพัฒนาคน' คือกุญแจสำ...

Responsive image

ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยบทใหม่ กับคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ชี้ทางรอดไทยยุค 5.0 ต้องปั้น ‘7Ts’ เพื่อฝ่า 3D Digitalization, Deglobalization, Decarbonization

ถอดรหัสวิสัยทัศน์ ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ ซีอีโอ ซีพี กางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยบทใหม่ (New Economic Frontier) ชี้ 3 วิกฤตโลก (3D) ที่ต้องฝ่า และ 7T โอกาสทองของไทย สู่ยุค 'Sustainable In...