สรุป 3 ข้อเสนอขับเคลื่อนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ‘ปลดล็อกพลังงานสะอาด - หนุน SMEs เเข่งขันได้ - เตรียมความพร้อมรับมือโลกรวน'

SCG, ESG, Energy Transition

ESG Symposium 2025 เวทีความยั่งยืนระดับอาเซียน ที่เอสซีจีเเละพันธมิตรร่วมกันจัดขึ้นในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นเวทีภาคต่อจากเดือนสิงหาคมที่ SCG จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Green Breakthrough Amid the Perfect Storm’ (เทคซอสนำเสนอไปแล้วในบทความ 5 แนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ พาอาเซียนเปลี่ยนผ่านสู่ ‘ความยั่งยืน’เป็นการสรุป 3 ข้อเสนอเพื่อผลักดันเรื่อง ‘เร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด - ยกระดับ SMEs สู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ - สร้างความร่วมมือปรับตัวสู้วิกฤตโลกรวน’ นำโดย คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และ ดร. ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย

ข้อเสนอแรก : ปลดล็อกพลังงานสะอาด เร่งการเปลี่ยนผ่านด้วยเครื่องมือ ‘ที่ชัด-คล่อง-เป็นจริง’

ในข้อเสนอแรกนี้ ดร. อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นสถานการณ์พลังงานของประเทศไทยว่าอยู่ในช่วง ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ จากคะแนน ดัชนีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition Index: ETI) ของไทยซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและคู่แข่งในอาเซียน โดยปัจจัยที่น่ากังวลคือ สัดส่วนไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ค่อนข้างต่ำ ขาดการสนับสนุนเทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน รวมถึงขาดแรงงานที่มีทักษะสีเขียว

ESG Symposium 2025

ความต้องการในการเร่งการเปลี่ยนผ่านนี้มาพร้อมกับ ‘ระเบิด 2 ลูก’ ลูกแรก ผลกระทบจากมาตรการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ที่มีต่อธุรกิจส่งออก ลูกที่สอง ความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2030 โดยกลุ่มองค์กรเอกชนชั้นนำและบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (RE100) ทั้งนี้คาดการณ์ว่า ทั้งสองกลุ่มจะมีความต้องการไฟฟ้ารวมกันสูงถึง 40% ของความต้องการใช้ทั้งประเทศในปี 2030 

ปัจจัยด้านความท้าทายและระเบิด 2 ลูกที่เข้ามาเป็นตัวเร่ง จึงนำมาสู่การออก ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์เพื่อปลดล็อกพลังงานสะอาด เร่งการเปลี่ยนผ่านด้วยเครื่องมือที่ทำได้จริง โดย ดร. อารีพรนำเสนอมาตรการ 3 กลุ่ม 3 ระยะ คือ ระยะสั้น กลาง ยาว

ระยะสั้น

  • ทบทวนโครงสร้างราคาค่าไฟให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ควบคู่กับการเปิดการแข่งขันอย่างเสรีในตลาดไฟฟ้าอย่างเป็นขั้นตอน 
  • เสนอให้ภาครัฐเร่งเปิดสิทธิ์เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า หรือ Third Party Access (TPA) เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและคิดค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรม 
  • เสนอให้เร่งออกนโยบายส่งเสริมตลาดซื้อ-ขายไฟฟ้าหมุนเวียนโดยตรง (Direct PPA)
  • เสนอให้เปิดช่องทางด่วนสีเขียว (Green Channel) สำหรับโครงการที่ได้รับการรับรองว่า ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ระยะกลาง

  • เสนอให้เร่งออกแผนพลังงานแห่งชาติ (PDP : Power Development Plan) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าทั้งประเทศ

ระยะยาว 

  • เสนอให้บูรณาการความร่วมมือ วางแผนนโยบายพลังงานทุกแผนให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว ตามร่าง NDC 3.0

ESG Symposium 2025

ดร. อารีพรยังแนะเพิ่มถึงขั้นตอนการเปิด Third Party Access (TPA) ว่าอาจทำทีละเฟสเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นธรรม โดย เฟส 1 เร่งเปิด TPA ให้ ภาคส่งออก และ ภาคการผลิตขนาดใหญ่ ภายในปี 2030 ก่อน เนื่องจากสองภาคส่วนนี้มีความต้องการไฟฟ้ารวม 40% ของประเทศ เฟส 2 เปิด TPA ให้ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก เข้าร่วม ภายในปี 2037 ซึ่งจะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด 51% ตามร่างแผน PDP 2024 และ เฟส 3 เปิด TPA ให้ครอบคลุม อุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศ ภายในปี 2050 เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน 

“ถ้าภาครัฐไม่เร่งเปิดตลาดไฟฟ้าเสรี Third Party Access คือ เปิดสิทธิ์ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าของภาครัฐได้ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ คือ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การเข้ามาของเงินลงทุนอาจลดลง และ บริษัทไทยเสี่ยงที่จะเสียตำแหน่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิต” ดร. อารีพรกล่าว

ถึงเวลาแล้วที่ตอนนี้ภาครัฐต้องฟังเสียงจากภาคประชาชน จากภาคธุรกิจ จากภาคเอกชน ในการออกแบบเครื่องมือที่ชัด คล่อง และเป็นจริง เพื่อที่จะได้มาซึ่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม

ข้อเสนอที่สอง - เสริมศักยภาพ SMEs ไทย เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

ESG Symposium 2025

ดร. ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เกริ่นถึงการเรียกผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจแบบเหมารวมว่า SMEs นั้นไม่เพียงพอ ต้องแยกออกมาเป็น MSMEs คือ Micro, Small และ Medium Enterprises โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการรายย่อยหรือที่เรียกว่า Micro ที่มีกว่า 2.75 ล้านราย และ Small ผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กซึ่งมีอยู่ 420,000 ราย ซึ่งถ้ารวมสองกลุ่มนี้แล้วจะมีผู้ประกอบการมากกว่า 3.1 ล้านราย และส่วนใหญ่นั้นขาดทักษะแรงงานสีเขียว 

กลุ่ม Micro และ Small จึงเป็นกลุ่มที่เผชิญความท้าทายในเรื่องการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำมากที่สุด เนื่องจากเข้าถึงแหล่งทุนได้จำกัด ส่วนหนึ่งเพราะกลไกในเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด ทำให้ผู้ประกอบการกว่า 3.1 ล้านราย ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ดร. ณพพงศ์จึงระบุข้อเสนอระยะสั้น กลาง ยาว ดังนี้

ระยะสั้น

  • เร่งสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้กลุ่ม Micro และ Small
  • เสนอให้ยกระดับมาตรฐาน สร้างคุณค่าและความแตกต่างให้สินค้าของ SMEs 

ระยะกลาง

  • พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ยุคใหม่ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล, AI ให้แก่ MSMEs โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Small เพื่อนำมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและก้าวทันความเปลี่ยนแปลงต่างๆ 
  • เสนอให้สร้างแรงจูงใจและโอกาสเข้าถึงตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ

ระยะยาว

  • เสนอให้จัดตั้ง One Stop Service หรือ ศูนย์บริการแบบครบวงจร เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน ความรู้ และเทคโนโลยีได้สะดวกยิ่งขึ้น
  • เสนอให้สร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเปลี่ยนผ่านของ SMEs และให้การสนับสนุนตามขนาด (Micro, Small, Medium) และตามประเภทของธุรกิจ (ค้าปลีก/ค้าส่ง, บริการ, ภาคการผลิต)

สอดคล้องกับข้อเสนอข้างต้น เอสซีจียังรวมพลังกับเครือข่ายเพื่อช่วย SMEs ไทยเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ โดยกำหนด 3 แนวทาง คือ แชร์ความรู้, แนะการเปลี่ยนผ่านในภาคปฏิบัติ และพัฒนาความร่วมมือ ด้วยการจัดทำหลักสูตรและโครงการ ได้แก่ 

  1. NZAP (Net Zero Accelerator Program) หลักสูตรเสริมศักยภาพที่ผู้ประกอบการจะได้เรียนรู้นโยบาย กฎหมาย และกลไกตลาดคาร์บอน ที่อัปเดตและสอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนไป ทั้งยังพาไปดูงานและให้ทดลองทำจริง 

  2. Go Together โครงการเปิดบ้านที่แนะการใช้เทคโนโลยี AI และดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนพลังงานด้วยพลังงานสะอาด และสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือทิ้ง 

นอกจากนี้ เอสซีจียังพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกมากมายและ SMEs สามารถนำไปใช้ประโยชน์หรือต่อยอดธุรกิจได้ อาทิ ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ เอสซีจี ซึ่งเป็นปูนงานโครงสร้าง (Structural Cement) เจเนอเรชันที่ 3 ที่ใช้ ‘Calcined Clay’ เป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทำให้อุณหภูมิในการเผาปูนต่ำกว่าการเผาปูนเม็ดราว 700-800 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อเทียบกับปูนปอร์ตแลนด์ทั่วไป ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ เอสซีจีลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 38% 

ข้อเสนอที่สาม - เตรียมความพร้อม ‘ร่วมมือ - ใช้เทค - เรียนรู้จากต่างประเทศ’ รับมือโลกรวน

คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวในฐานะผู้นำองค์กรเอกชนเบอร์ต้นของไทย ว่าเอสซีจีมีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มีแพลตฟอร์มช่วย SMEs เปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึงมีการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ โดยในด้าน การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด คุณธรรมศักดิ์ยกเรื่องการลงทุนในพลังงานสะอาดที่เปิดให้ Third Party Access (TPA) ดังที่ ดร. อารีพรกล่าวในตอนต้น มาตอกย้ำว่าเป็น ‘Engine ทางเศรษฐกิจใหม่ที่สำคัญต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง’ เพราะสามารถสร้างมูลค่ากว่าล้านล้านบาท และช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เติบโตแบบชะลอตัว

สำหรับบทบาทในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน คุณธรรมศักดิ์กล่าวว่า เอสซีจีใช้ DeepTech และ AI เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ร่วมกับการใช้พลังงานสะอาด พลังงานชีวมวล ตลอดจนมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอย่างต่อเนื่อง เช่น Renewable Energy Management Platform จาก Digital Reliability Service Solutions (DRS) by REPCO NEX ช่วยบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน ทั้งแสงอาทิตย์และลมแบบเรียลไทม์ แสดงข้อมูลสำคัญและตรวจจับความผิดปกติได้ทันที ด้วย AI Prediction และข้อมูลดาวเทียม ระบบสามารถคาดการณ์การผลิตไฟฟ้าล่วงหน้าอย่างแม่นยำ ทำให้ผู้ผลิตพลังงานวางแผนและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความสูญเสีย และเพิ่มความยั่งยืนด้านพลังงานสะอาด

Renewable Energy Management Platform of DRS by REPCO NEX ที่จัดแสดง ณ บูธ SCG ในงาน Sustainability Expo 2025

ส่วนเรื่องการช่วย SMEs ปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ เอสซีจีมีบทบาทในการช่วยเหลือด้วยการจัดทำหลักสูตรและโครงการ คือ 1) Net Zero Accelerator Program และ 2) Go Together ดังที่กล่าวถึงในข้อเสนอที่สอง

“Net Zero Accelerator Program เป็นการให้ความรู้ว่า Carbon Footprint คืออะไร ทำอย่างไร โอกาสอยู่ตรงไหน ความเสี่ยงอยู่ตรงไหน ส่วน Go Together ก็คือเปิดบ้านเลย อย่างเราทำเรื่องโซลาร์ เรื่อง Energy Storage ทำเรื่อง AI & Robotics แบบลองผิดลองถูก ทำจนรู้แล้วว่า ติดโซลาร์แบบนี้ได้คุณภาพ ได้ความประหยัด และได้รีเทิร์นแน่นอน เราจึงคิดว่าน่าเปิดบ้านให้คนอื่นมาเรียนรู้ แล้วนำไปเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจต่อไป” คุณธรรมศักดิ์ขยายความ 

ESG Symposium 2025

ต่อด้วยการแสดงความกังวลเกี่ยวกับ การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) ในช่วงท้าย โดยคุณธรรมศักดิ์อธิบายภาพจำลองของกรุงเทพฯ ที่อาจจมน้ำในอีก 25 ปีข้างหน้า เนื่องจากแผ่นดินทรุดตัว น้ำทะเลสูงขึ้น และแผ่นเปลือกโลก (Plate) บริเวณที่ประเทศไทยตั้งอยู่นั้นกำลังสไลด์ลง จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่เอสซีจีเน้นย้ำว่า ต้องอาศัยความร่วมมือ การนำเทคโนโลยี/นวัตกรรมเข้ามาช่วยวิเคราะห์คาดการณ์ และบริหารจัดการ ตลอดจนนำแนวปฏิบัติจากต่างประเทศมาปรับใช้ อาทิ เขื่อนกั้นน้ำที่ออกแบบให้ใช้งานได้แบบ Dual Use ซึ่งต้นแบบอยู่ที่ญี่ปุ่น

“เราทำแพลตฟอร์มเพื่อผลักดันเรื่องที่สำคัญกับทุกคน ให้มาพูดคุยกัน มาแชร์กัน มาระดมสมองระดมกำลังกัน เพราะเอสซีจีเชื่อว่า เรื่องดีๆ ไม่ควรทำคนเดียว แต่ต้องทำร่วมกับทุกภาคส่วน” คุณธรรมศักดิ์สรุป

ESG Symposium 2025 จึงเป็นแพลตฟอร์มรวมพลังเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในไทยและอาเซียน ที่ตอกย้ำให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ตระหนักว่า หากไม่เริ่มดำเนินการ ไม่ปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำตั้งแต่วันนี้ ตอนนี้ ความพยายามที่สร้างและสั่งสมมานั้น อาจไม่คุ้มกับสิ่งที่ต้องแลกหรือสูญเสียไปในอนาคต

บทความนี้เป็น Advertorial 

#SCG #เอสซีจี #เร่งด้วยกรีนรอดด้วยกัน #EnergyTransition #JustTransition #ClimateAdaptation

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

เทรนด์หุ่นยนต์ Humanoid ปี 2025 เมื่อหุ่นยนต์เริ่มทำงานบ้านได้จริง และโลกกำลังเปลี่ยน

ปี 2025 คือจุดเปลี่ยนของหุ่นยนต์ Humanoid จากแล็บสู่ชีวิตจริง ตั้งแต่พ่อบ้าน AI จนถึงแรงงานในโรงงาน และความเสี่ยงฟองสบู่ที่ต้องจับตา...

Responsive image

เจาะความสำเร็จ ttb spark ทีมทรานสฟอร์ม Digital & Tech ของทีทีบี สู่ดิจิทัลแบงก์กิ้งที่เป็นมิตร รู้จัก และรู้ใจ

รวมความสำเร็จ ทีทีบี (ttb) ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตร รู้จัก และรู้ใจลูกค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Humanized Digital Banking’ โดยใช้กลยุทธ์ 3 ผสาน คือ ttb spark, ttb spark a...

Responsive image

เปิดแผนลับ ‘Manhattan Project’ ฉบับจีน เร่งสปีดสร้างเครื่องผลิตชิป EUV หวังโค่นอำนาจตะวันตก

จีนซุ่มเดินเกมลับแบบ ‘Manhattan Project’ ฉบับศตวรรษที่ 21 เร่งพัฒนาเครื่องผลิตชิป EUV เพื่อทลายการผูกขาดของตะวันตก หลังถูกสหรัฐฯ สกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี ระดมซื้อตัวอดีตวิศวกรจาก AS...