“ออกแบบอนาคตอันกลมกลืนของเราทุกคน” เสวนาครบรอบ 55 ปีของ TMA | Techsauce

“ออกแบบอนาคตอันกลมกลืนของเราทุกคน” เสวนาพิเศษครบรอบ 55 ปีของ TMA สะท้อนยกระดับขีดการแข่งขัน

ในยุคที่อนาคตพุ่งเข้าหาเราด้วยความเร็วสูงกว่าเคย ทุกประเทศทั่วโลกต้องปรับตัวเพื่อรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การปรับตัวดังกล่าวทำให้รูปแบบการแข่งขันของประเทศเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การเรียนรู้เพื่อเข้าใจขีดการแข่งขันใหม่ของโลกจึงจำเป็นอย่างเลี่ยงไม่ได้ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทยหรือ TMA องค์กรที่สนับสนุนการเพิ่มขีดการแข่งขันของประเทศไทยมานานถึง 55 ปี จึงจัดเสวนาพิเศษ TMA Leaders Forum ฉลองการครบรอบ 55 ปี ในหัวข้อ “The new competitiveness agenda: designing a compatible future for all”

เสวนาครั้งนี้ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและองค์กรชั้นนำของโลก ทั้งศาสตราจารย์ Stephane Garelli, Founder of IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, Martin Wezowski, Chief Designer & Futurist and Chief innovation office, SAP's Innovation Center Network และ ศาสตราจารย์ ดร. Barry Katz, IDEO fellow, Consulting Professor of Mechanical Engineering, Stanford University

เรามีความรู้มากกว่าเดิม แต่ขยับไปไหนไม่ได้เลย

เริ่มต้นการเสวนาด้วยการไล่เลียงถึงปัญหาโดยวิทยากรทั้ง 3 ท่าน โดย ศ. Garelli กล่าวว่า แม้เราจะอยู่ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบันมานานนับร้อยปี แต่เรากลับรู้เรื่องเศรษฐกิจ “น้อยกว่า” เมื่อ 40 ปีก่อน เรามีอัตราการว่างงานสูงที่สุดในรอบ 45 ปี เรามีดอกเบี้ยที่ต่ำและไม่เกิดประโยชน์กับใคร ธนาคารกลางที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่งของโลกเก็บสินทรัพย์รวมเป็นมูลค่ามากกว่า 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในแง่การผลิต ความเรื่องธุรกิจที่คนระดับศาสตราจารย์มีอยู่ในปัจจุบันอาจไม่เพียงพอต่อการสอบผ่านในมหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าความรู้เดิมๆ ที่เรามี ไม่ได้พาเราออกไปในจุดที่ดีกว่าอย่างที่ควรจะเป็นได้เลย

โมเดลธุรกิจในปัจจุบันเองก็ดำเนินธุรกิจได้โดยที่ไม่ได้แลกเปลี่ยนด้วยของหรือสกุลเงิน เช่น “Facebook” ที่ผู้ใช้จ่ายค่าบริการเป็น “ข้อมูลส่วนตัว”หรือ “Spotify” หรือ “Netflix” ที่ไม่ได้ขายสื่อบันเทิงแต่ขาย “การรับชม” สื่อบันเทิง และ N26 ธนาคารดิจิทัลที่ประกาศชัดว่าไม่ได้มองหาผลกำไร แต่มองไปยังการเป็น “กระเป๋าสตางค์” ของผู้คน บริษัทเหล่านี้คือที่ที่คุณไม่สามารถขอซื้อสินค้าจากพวกเขาได้โดยตรงหรือไม่แม้แต่รับเงินเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า พวกเขาเห็นอะไรบางอย่างมากกว่าการ “ผลิตของขาย” นี่คือโมเดลธุรกิจแบบกลับหัวกลับหาง (Upside-Down) ที่เราต้องเจอในอนาคต

ศ. Garelli ยังกล่าวต่อว่าโมเดลธุรกิจแบบกลับหัวกลับหางกำลังก่อภาพชัดเจนมากขึ้น ทั้งการที่ Facebook และ Google ทำธุรกิจด้วยการโฆษณา Amazon ทำธุรกิจขายอาหาร หรือแม้แต่ Apple ที่กลายเป็นผู้ผลิตนาฬิการายใหญ่เมื่อปี 2018 มากกว่าทุกแบรนด์ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์รวมกัน บริษัทเหล่านี้คือบริษัทเทคโนโลยีที่เปลี่ยนตัวเองไปจากเดิม ลบภาพเดิมๆ ของ IBM และ HP ที่เน้นการส่งมอบสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงอย่างเดียว

สุดท้าย ศ. Garelli กล่าวว่า ในอนาคต องค์กรธุรกิจเดิมจะแข่งกับใคร ถ้าบริษัทเทคโนโลยีเองก็หันมาทำประกันภัย บริษัทรถยนต์หันมารับส่งคน บริษัทขายสินค้าหันมาออกเงินกู้

ออกแบบใหม่ให้กับโลกในวันพรุ่งนี้

คุณ Wezowski กล่าวว่า เพื่อไปสู่อนาคตในจุดที่เราควรจะเป็น เราต้องการ “Big Story” ที่จะผลักดันเราไปสู่จุดนั้น อนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคน​ โดยพวกเราคือตัวเอกในเรื่องราวของตัวเอง และสำหรับคนรุ่นเก่า เราต้องถามตัวเองเสมอว่า อนาคตที่เราออกแบบเพื่อคนรุ่นใหม่นั้น เป็นสิ่งที่เขาคาดหวังจริงๆ หรือเปล่า

ทุกวันนี้ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว มนุษย์สามารถใช้เทคโนโลยียกระดับความสามารถของตัวเองได้และการฝึกฝนตัวเองเพื่อเพิ่ม Hard Skill มีบทบาทน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI ร่วมกับแพทย์เพื่อผลการตรวจโลกที่แม่นยำมากขึ้น หรือแม้แต่แนวคิดผสาน Bio-neuro Technology อย่างการดื่มเครื่องดื่มเพื่อรับความทรงจำหรือทักษะบางอย่างเข้าสู่สมองโดยตรง

ความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงดังกล่าวทำให้เราต้องตั้งคำถาม 2 ข้อ ได้แก่ อะไรคือสิ่งที่ตัวเราควรรู้ และอะไรคือสิ่งที่เราควรบอกคนรุ่นใหม่ ซึ่งทั้ง 2 คำถามยังไม่มีคำตอบที่ดีพอ และต้องอาศัยการเรียนรู้เพื่อเรียบเรียงคำตอบออกมาและถ่ายทอดสู่ทุกคน

คุณ Wezowski กล่าวว่าการที่เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลง เราต้องมีทักษะ 3 อย่างด้วยกัน ข้อแรกคือการรู้ในสิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ทำสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ให้ดี ข้อที่สองคือการคาดการณ์สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรามีในระยะสั้น ส่วนข้อสุดท้ายคือการมองการณ์ให้ไกลไปยังอนาคต แน่นอนว่าเราไม่สามารถมองสิ่งนี้ได้แม่นยำแต่เราจำเป็นต้องทำ ซึ่งข้อสุดท้ายนี้จะทำให้เราสร้าง “วิสัยทัศน์” ซึ่งแม้ว่าวิสัยทัศน์จะไม่อาจคาดการณ์ตลาด แต่วิสัยทัศน์คือเรื่องราวในอนาคตที่เราถ่ายทอดไปยังคนอื่นได้

คุณ Wezowski ชี้ว่า การที่บรรดา Talent มองเห็นตลาดใหม่ที่คนอื่นมองไม่เห็นก็เพราะพวกเขามี “วิสัยทัศน์” บางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น เราสามารถเรียนรู้ได้จากการพูดคุยกับเขา ถามเขาว่าพวกเขาเห็นอะไร พวกเขาคาดหวังอะไร และพวกเขาจินตนาการถึงสิ่งใดบ้าง

ทศวรรษแห่ง Disruption กับการเปลี่ยนแปลงที่อาจสร้าง “ภัยพิบัต”

ศ.ดร. Katz ชี้ว่า ทุกวันนี้โลกของเรามีความเปลี่ยนแปลงอันซับซ้อนและไหลเลื่อนจนยากจะคาดเดา โดยสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างน้อยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งความเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันยังก้าวไปข้างหน้าด้วยอัตราเร่งที่ไม่ช้าลงแน่นอน และด้วยความเร็วนี้อาจทำให้เราพบกับภัยพิบัตได้

สาเหตุที่เราอาจพบภัยพิบัตอย่างแรงคือ การพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสถานการณ์โลกในปัจจุบัน อย่างสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แม้สหรัฐฯ จะมองว่าตัวเองมีสิทธิ์ชนะอย่างง่ายๆ แต่ขึ้นชื่อว่าสงครามโลกย่อมต้องมีผู้แพ้ที่เจ็บหนัก ทั้งผลลัพธ์มีแนวโน้มไปในทางที่แย่ลงมากกว่าดีขึ้น

อีกสาเหตุหนึ่งคือ Political Transparency หรือความโปร่งใสในทางการเมือง ปัจจุบันด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูล แต่สิ่งที่ประชาชนต้องการนั้นคือการเข้าถึง “ข้อมูลเชิงลึก” เพื่อการตัดสินใจ ซึ่งมีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งต้นเหตุของ Political Transparency มาจากการเชื่อในวิธีแก้ปัญหาแบบ Top Down ของรัฐ ซึ่ง ศ.ดร. Katz เชื่อว่าไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพกปืนที่นำไปสู่การกราดยิงในบางพื้นที่ของสหรัฐฯ ซึ่งภาคประชาสังคมควรมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้วย

สาเหตุสุดท้ายคือความขัดแย้งระหว่างการหาผลประโยชน์ส่วนตัวตอนนี้หรือการรักษาผลประโยชน์ร่วมกันอนาคต ศ.ดร. Katz ยกตัวอย่างว่าในสหรัฐฯ ปัญหาการกราดยิงในที่สาธารณะมาจากการเรียกร้องให้พกปืนซึ่งเป็นผลประโยชน์ระยะสั้นของผู้ที่พกปืนรวมถึงธุรกิจขายปืน และยังยกตัวอย่างถึงโฆษณาอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพซึ่งไม่คำนึงถึงประชาชนจนทำให้เด็กสหรัฐฯ มีน้ำหนักเกินเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากเองก็เลือกที่จะตอกย้ำปัญหาด้วยการ “เลือก” ที่จะทำด้วย เช่น เลือกที่จะครอบครองปืน เลือกที่จะทานอาหารที่ไม่ดีด้วย

คุณ Wizowski และ ศ.ดร. Katz ยังร่วมกันตอบคำถามถึงมุมมองต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ด้วยว่าเทคโนโลยีนี้จะไม่เข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะช่วยในกระบวนการย่อย (Sub-Task) เพื่อให้มนุษย์ทำงานใช้เวลาทำงานน้อยลง อย่างไรก็ตาม บางอาชีพที่มีขั้นตอนการดำเนินซ้ำๆ อาจจะโอเคที่มี AI ช่วยเหลืองาน แต่บางอาชีพที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางทำงานซ้ำๆ ตลอดเวลาอาจจะไม่รู้สึกดีที่มี AI เข้ามาช่วย

ในปี 2100 มนุษย์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

เรียกว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจในเสวนานี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบเป็นนักวิเคราะห์และผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับการคาดการณ์อนาคต ซึ่งทั้ง 3 ท่านได้ร่วมกันแสดงความเห็นว่าในปี 2100 มนุษย์เราจะเป็นอย่างไร

ประเด็นแรกที่ยกขึ้นมาคือในอีก 80 ปีข้างหน้า เราจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก แต่โลกของเราจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราก่อปัญหามลภาวะมากมาย สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือปฏิรูปความคิดต่อการบริโภคเพื่อชะลอปัญหาสภาวะแวดล้อม

อีกประเด็นใหญ่ที่สุดคือคุณค่าของมนุษย์ ในอนาคตเราจะมีตัวช่วยในการทำงานมากมาย แต่หากระบบงานของเรายังไม่มุ่งเน้นคุณค่าความเป็นคน โลกคงเป็นสถานที่ที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์ ทั้งนี้ หากเราได้รับการเติมเต็มจากการกระทำเพื่อดำรงชีพ (กิน นอน ขับถ่าย) โดยไม่หวังจะสร้างคุณค่าใดมากขึ้น ก็คงไม่ต่างอะไรจากสัตว์

คุณค่าที่สำคัญสำหรับพวกเราอนาคตคือการคิดว่าเราเป็นใครและเรากำลังจะเป็นอะไร มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พวกเราสามารถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ และร่วมกันทำเรื่องสร้างสรรค์ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้สร้างคุณค่าให้กับมนุษย์ในอนาคตได้

บทความนี้เป็น Advertorial

 

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

‘Yindee’ แชตบอตในแอป ttb Touch ใช้ Gen AI จับความรู้สึก ตอบเร็วและฉลาดกว่าที่เคย

Yindee แชตบอตที่อยู่บน Mobile Banking ของ ttb ทำงานผ่านแอป ttb Touch สามารถจับ Mood & Tone ของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ว่าขณะแชตนั้น ลูกค้าอยู่ในอารมณ์ไหน ด้วย Generative AI โดย Azur...

Responsive image

คนอยากใช้พลังงานเยอะ แต่โลกอยากได้ปล่อยคาร์บอนน้อย บริษัทพลังงานแก้ไขความย้อนแย้งนี้อย่างไรดีในยุค AI

The Energy/Prosperity Paradox หรือภาวะย้อนแย้งแห่งพลังงาน และความเจริญ ถือเป็นความท้าทายระดับโลกที่บริษัทด้านพลังงานกำลังพบเจอ เพราะในตอนนี้โลกกำลังต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างไม่เ...

Responsive image

เศรษฐกิจไทย ‘ฟื้นตัว’ แล้วหรือยัง ? ฟังความเห็นจาก 3 ผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่ไทย

ค้นพบศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย จีน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม และกัมพูชา พร้อมโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในภาคอุตสาหกรรม การเงิน และเทคโนโลยี...