ในโลกการทำงานยุคนี้ อารมณ์ไม่ใช่เรื่องต้องเก็บซ่อน แต่คือพลังที่แท้จริงของผู้นำ
มีงานวิจัยยืนยันชัดว่า อารมณ์ มีคุณค่ามหาศาลต่อการทำงาน แต่ในโลกจริงหลายคนยังคิดว่าอารมณ์คือสิ่งรบกวน ยิ่งเป็นผู้นำยิ่งถูกสอนว่า อย่าอ่อนไหว, อย่าให้ใครเห็นว่าเหนื่อย, อย่าแสดงอารมณ์ออกมา และทำเหมือนอารมณ์ไม่เคยมีอยู่ แต่ความจริงแล้ว การกดอารมณ์ต่างหากคือกับดักที่กัดกร่อนทีละน้อย
ด้าน Harvard Business Review ชี้ว่า แท้จริงแล้วการทำงานนั้น อารมณ์ไม่ใช่ศัตรู แต่อารมณ์คือข้อมูลสำคัญชั้นดีที่บอกอะไรเราได้หลายอย่าง หากผู้นำไม่เข้าใจข้อมูลนี้ ก็เหมือนเดินในสนามรบโดยปิดตา ขาดเข็มทิศนำทาง
ดังนั้น แทนที่จะกดอารมณ์ ผู้นำควรเรียนรู้วิธี “ทำงานร่วมกับอารมณ์” อย่างฉลาด ซึ่งทาง Harvard Business Review ได้แบ่งออกมาทั้งหมด มี 4 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการทำงานกับอารมณ์อย่างถูกวิธี

เพราะอะไร อารมณ์ ถึงสำคัญ ?
อารมณ์เชื่อมโยงเรากับเพื่อนร่วมงาน ทำให้เรารู้จักความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้เราอยากสร้างสิ่งที่มีคุณค่า อย่างที่ได้กล่าวไปว่าอารมณ์คือข้อมูลชนิดหนึ่ง ที่สามารถบอกเราได้หลายๆ อย่าง อาทิ
ความโกรธบอกเราว่า “ขอบเขตของฉันถูกละเมิด”
ความเศร้าสะท้อนว่า “ฉันสูญเสียสิ่งที่รัก”
ความกังวลแปลว่า “ฉันต้องการความมั่นคง”
ส่วนความสุขก็ยืนยันว่า “นี่คือสิ่งที่ใช่สำหรับเรา”
ดังนั้น การทำงานกับอารมณ์จึงไม่ใช่เรื่องของการดราม่า ไม่ใช่การพรั่งพรูทุกอย่างออกมาโดยไม่กรอง แต่คือการมองมันเป็น “ข้อมูลเชิงลึก” ที่บอกทั้งตัวเราและทีมว่าความจริงคืออะไร และเราควรจะก้าวต่อไปอย่างไร
อารมณ์ชอบส่งสัญญาณเล็ก ๆ ก่อนสมองจะรู้ตัวเสมอ เช่น หัวใจที่เต้นแรงเกินปกติ คิ้วที่ขมวดโดยไม่รู้ตัว เสียงที่แผ่วลงกว่าทุกวัน หรือเพื่อนร่วมงานที่ปกติพูดเก่งแต่วันนี้เงียบผิดสังเกต สิ่งเหล่านี้คือ “ภาษาของอารมณ์” การเป็นผู้นำไม่ใช่แค่พูดให้คนฟัง แต่คือการมองเห็นสิ่งเล็ก ๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น
เวลาที่เราเจออารมณ์รุนแรง เรามักจะติดอยู่กับคำกว้าง ๆ เช่น โกรธ เครียด หรือไม่สบายใจ แต่ปัญหาของคำเหล่านี้คือมันกว้างเกินไป และไม่บอกชัดว่าจริง ๆ แล้วเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่ถ้าลองเจาะลึกจริงๆ คุณอาจพบว่า ความโกรธนั้นเกิดจากความผิดหวัง เพราะคนไม่ทำตามสัญญา หรือน้อยใจ เพราะความพยายามของคุณไม่ได้รับการยอมรับ หรือรู้สึกถูกละเลย เพราะเสียงของคุณไม่มีใครฟัง ความแตกต่างเล็ก ๆ นี้สำคัญมาก เพราะอารมณ์แต่ละแบบมีวิธีรับมือไม่เหมือนกันเลย
ยิ่งไปกว่านั้น การมีคลังคำอารมณ์ที่หลากหลายยังช่วยพัฒนา ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ได้โดยตรง คนที่มีคำศัพท์ทางอารมณ์เยอะ มักเข้าใจตัวเองชัดกว่า จัดการอารมณ์ได้ดี และสามารถเข้าใจคนอื่นได้ลึกขึ้น เพราะเขาไม่ได้ฟังแค่คำพูด แต่ฟังอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง
ทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นบวกหรือลบ ล้วนเป็นผู้ส่งสารที่พยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเราและกับคนรอบตัว แต่บ่อยครั้งเรามัวแต่ติดอยู่กับความรู้สึกที่ผิวเผิน จนไม่ได้ตั้งใจฟังเสียงที่ซ่อนอยู่ข้างใน เช่น
เมื่อเราถามและตอบตัวเองได้ อารมณ์ก็จะเปลี่ยนจากสิ่งที่กดทับเรา กลายเป็นเข็มทิศนำทาง และถ้าเป็นในฐานะผู้นำ การฟังความต้องการของผู้อื่นยิ่งสำคัญกว่า สมมติคุณเห็นลูกทีมที่ปกติกระตือรือร้น แต่ช่วงนี้ดูเงียบลง แทนที่จะปล่อยผ่าน คุณอาจเริ่มด้วยการถามเขาว่า “ช่วงนี้คุณไม่ค่อยพูดในที่ประชุมเลย คุณรู้สึกยังไงกับงานช่วงนี้บ้าง ?”
คำถามแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาแทน แต่เปิดพื้นที่ให้เขาได้สะท้อนความรู้สึก และจากนั้นคุณก็จะได้ยินความต้องการที่ซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นเพียงการอยากให้ความเห็นของเขาได้รับการยอมรับ อยากได้ความช่วยเหลือบางอย่าง หรือแค่ต้องการใครสักคนที่รับฟัง
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกการทำงานคือ “การแสดงอารมณ์ = ความอ่อนแอ” ผลที่ตามมาคือองค์กรจำนวนมากเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกจริงๆ ยิ้มแม้ไม่อยากยิ้ม ตอบว่าไม่เป็นไรทั้งที่ในใจเจ็บหนัก ผลลัพธ์คือบรรยากาศที่ตึงเครียด อึดอัด และไร้ความไว้ใจ
การทำให้อารมณ์เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้หมายถึงการเปิดเผยความรู้สึกทุกอย่างแบบไร้ขอบเขต แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะพูดความจริงในระดับที่เหมาะสม และมั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกตัดสินว่าอ่อนไหวเกินไป หรือไม่เป็นมืออาชีพ
ดังนั้น การ Normalize จึงเป็นการทำให้การมีอารมณ์เป็นเรื่องที่ “พูดได้ ฟังได้ ยอมรับได้” เมื่อทีมเห็นว่าผู้นำกล้าที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึก พวกเขาก็จะกล้าที่จะซื่อสัตย์เช่นกัน นี่คือการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เต็มไปด้วยความไว้ใจ และความไว้ใจนี่เองคือรากฐานของทุกผลงานที่ยิ่งใหญ่
หัวใจสำคัญคือ ไม่ใช่การยัดเยียดให้อารมณ์กลายเป็นประเด็น แต่มันคือการยอมรับว่าอารมณ์คือส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ และที่ทำงานก็คือพื้นที่ที่มนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ใช่เพียงพื้นที่ที่คนมาผลิตงาน
ผู้นำที่เก่งจึงไม่ใช่คนที่เก็บอารมณ์ไว้ได้แนบเนียนที่สุด แต่คือคนที่กล้าเผชิญอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา ใช้มันเป็นเครื่องมือเชื่อมใจ และทำให้ทีมรู้สึกว่า เรากำลังเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่เดินอยู่คนเดียว สุดท้ายแล้วอารมณ์จึงไม่ใช่จุดอ่อน แต่มันคือพลังที่ทำให้ความเป็นผู้นำสมบูรณ์ และนี่คือความจริงที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังที่สุดในโลกการทำงานยุคใหม่
อ้างอิง: hbr.org
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด