ขณะที่ Disney+ ขาดทุนอย่างหนักและทาง Prime Video ปลดพนักงานเป็นว่าเล่น Netflix กลับพุ่งทะยานทำรายได้เกินคาด ในช่วงไตรมาสที่ 4 ยอด Subscriber เพิ่มขึ้นกว่า 13.1 ล้านราย และมีรายได้สูงถึง 8.83 พันล้านดอลลาร์ (3 แสนล้านบาท) ซึ่งสาเหตุที่ทำให้สตรีมมิ่งเจ้าดังโตเกินคาดขนาดนี้เป็นเพราะอะไร ไปดูกัน !
จากยอด Subscriber ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 13.1 ล้านราย ทำให้ปัจจุบัน Netflix มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 260.8 ล้านรายทั่วโลก ส่งผลให้มูลค่าหุ้นของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างมากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และทำกำไรได้ 2.11 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ส่งผลให้ Netflix เติบโตสวนกระแสนั้นมาจาก 1. แพ็กเกจแบบมีโฆษณา (Basic with Ads)
เนื่องจากแพ็กเกจนี้มีราคาถูกกว่าแพ็กเกจแบบปกติมาก ผู้คนจึงเลือกใช้งานแพ็กเกจนี้มากกว่า Amy Reinhard ประธานฝ่ายโฆษณาของ Netflix เผยว่า ปัจจุบันแพ็กเกจแบบมีโฆษณามีผู้ใช้งานมากกว่า 23 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา
และ 2. ยกเลิกการแชร์รหัสผ่าน ที่ทาง Netflix ประกาศใช้เมื่อปีที่แล้ว กฎเกณฑ์ใหม่นี้ช่วยให้บริษัทมี Subscriber เพิ่มขึ้น คนที่เคยแชร์รหัสผ่านบางส่วนก็เปลี่ยนมาสมัครแพ็กเกจแบบมีโฆษณา (Basic with Ads) แทน เพราะมีราคาถูกจนสามารถทดแทนการแชร์รหัสผ่านได้
ท่ามกลางสงครามสตรีมมิ่ง เกือบทุกเจ้าต่างต้องดิ้นรนลดต้นทุนเพื่อให้ยังทำกำไร ไม่ว่าจะปลดพนักงาน ลดจำนวนคอนเทนต์ หรือแม้แต่การควบรวมกิจการ แต่ทาง Netflix มองว่ากลยุทธ์การควบรวมกิจการ หรือการซื้อคอนเทนต์ลิขสิทธิ์ไม่ตอบโจทย์การแข่งขันในยุคปัจจุบัน หากพิจารณาปริมาณการควบรวมกิจการตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ก็จะเห็นว่ากลยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้ผล
บริษัทจึงทุ่มทุนกับการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และปรับกลยุทธ์การแข่งขันใหม่ เช่น เพิ่มโฆษณา และยกเลิกการแชร์รหัส กลายเป็นว่าทั้ง 2 กลยุทธ์นี้ที่เคยถูกคนทั่วโลกสาปส่ง กลับเป็นสิ่งที่ทำให้ Netflix เติบโตขึ้นสวนทางสตรีมมิ่งเจ้าอื่น ๆ ในโลกได้
ถึงแม้ Netflix จะมองว่าการซื้อคอนเทนต์ลิขสิทธิ์ไม่ใช่กลยุทธ์ที่ใช้แข่งขัน แต่ล่าสุด Netflix ก็ได้ซื้อลิขสิทธิ์ WWE Raw มูลค่ากว่า 5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 1.78 แสนล้านบาท) เพื่อหวังดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ เพิ่ม โดยคาดว่าจะเริ่มฉายอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2025 เรียกได้ว่าเป็นดีลใหญ่และข่าวดีสำหรับ Subscriber ในปีนี้เลย
อ้างอิง: cnbc, edition.cnn
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด