เปิดเมือง เปิดโรงเรียนอย่างไรดี เมื่ออดีตของคน 1 คน เป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน | Techsauce

เปิดเมือง เปิดโรงเรียนอย่างไรดี เมื่ออดีตของคน 1 คน เป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน

เปิดเมือง เปิดโรงเรียน หรือไม่ อย่างไรดี ? เมื่ออดีตของคน 1 คน เป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีคำถามเกิดขึ้นในกลุ่มไลน์ผู้ปกครองต่อข่าวที่จะให้เปิดโรงเรียนนานาชาติในวันที่ 1 มิถุนายน ที่จะถึงนี้ คำถามก็สะท้อนกลับมาว่า ถ้าโรงเรียนเปิดแล้ว ผมจะให้ลูกไปโรงเรียนในทันทีหรือไม่

แน่นอนอยู่ว่าอาการในเด็กมีน้อยกว่าผู้ใหญ่มาก และหายกลับเป็นปกติได้ค่อนข้างเร็ว และความเสี่ยงในปัจจุบันลดจากเมื่อเดือนมีนาคมลงไปมาก

หลังจากเปิดโรงเรียนได้ไม่ถึงสัปดาห์ นักเรียน 70 คนในฝรั่งเศสถูกตรวจพบเชื้อโควิด-19

ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 มีผู้ป่วย COVID-19 ที่ยังรับการรักษาตัวที่สถานพยาบาลทั่วประเทศอยู่ 57 คน (ยอดสะสม 3,042 คน)

ถ้าพิจารณาทางสถิติเพียงอย่างเดียว การเปิดเมืองแบบสุดซอยมีความเสี่ยงน้อยมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 57 คนที่ได้รับการดูแลจากบุคลากรทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทยจนกว่าจะหายเป็นปรกติ เชื้อ COVID-19 ก็น่าจะค่อย ๆ ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

ถ้าให้เด็ก ๆ ไปโรงเรียน มาตรการที่โรงเรียนต้องกำหนดควรมีอะไรบ้าง ถึงการติดต่อในเด็กจะมีความเสี่ยงน้อย และอาการไม่หนักมาก แต่นักเรียน 70 รายที่ฝรั่งเศสตรวจพบ COVID-19 ภายในช่วงเปิดเรียนสัปดาห์แรก ก็รับเชื้อไปแพร่ต่อให้ผู้ปกครอง หรือผู้สูงอายุที่บ้านต่อไปเพราะอดีตของคน 1 คน เป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน

ผมก็ยังไม่มีคำตอบ และเหมือนทุกครั้งที่เข้าสอบแล้วไม่รู้คำตอบ ผมก็คงรอให้เวลาทำข้อสอบใกล้จะหมด หวังว่าจะมีเหตุการณ์ หรือตัวแปรที่มีนัยสำคัญมาช่วย และถ้ายังไม่มีคำตอบตอนอาจารย์มาถึงกระดาษคำตอบแล้ว ก็คงต้องพึ่งโชคชะตา

ระหว่างที่รอเวลาสอบหมดลงไปอย่างช้า ก็ได้พิจารณาตัวแปรสำคัญต่าง ๆ ที่เป็นคำถามสะท้อนอยู่ในหัวผมมีหลายข้อ อาทิ

เมื่อได้เรียนรู้จากการตอบสนองที่ล่าช้าในการระบาดของ MERS เกาหลีใต้จึงเปิดเมืองพร้อมระบบติดตามที่เข้มข้น และพร้อมรับมือกับการระบาดระลอก 2

ฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) หรือแค่สิ่งผิดปกติ (Abnormal) ชั่วคราว

เรารณรงค์การรักษาสุขอนามัยได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงระบาดหนัก ๆ ช่วงกลางเดือนมีนาคม การล้างมือบ่อย ๆ การใส่หน้ากากผ้า การลดการสัมผัสใบหน้า การมีระยะห่างทางสังคม การใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ที่ผ่านการสัมผัส ล้วนเป็นแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปแล้ว ว่าสามารถใช้ป้องกัน COVID-19 อย่างได้ผล

จึงเหลือแต่เป็นประเด็นว่า การรักษาสุขอนามัยในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นการสร้างฐานวิถีชีวิตใหม่แล้วแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นสิ่งที่รณรงค์กันมาอย่างหนักก็จะหย่อนยานไปตามเวลา จนอยู่ในสถานะ “การ์ดตก” และเพลี่ยงพล้ำต่อ COVID-19 ได้

ปกติ หรือ ผิดปกติ

ระบบประเมินความเสี่ยงดีเพียงพอแล้วหรือยัง?

แม้กระทั่งในประเทศที่มีการระบาดมากที่สุด จำนวนคนติดเชื้อก็ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับประชากร ถ้ามีเครื่องมือหรือระบบที่สามารถแยกระดับความเสี่ยงได้ ก็น่าจะทำให้เราใช้ชีวิตตามปกติได้

ระบบนี้เหมือนการทำงานคล้าย ๆ กับเครื่องชั่งน้ำหนักตรงที่ว่า มันไม่ได้บอกว่าเราอ้วนไป ผอมไปหรือไม่ สุขภาพดีหรือไม่ แต่เป็นตัวบอกความเสี่ยงในมิติที่ใช้เครื่องนี้วัด

เราก็อยากจะมีเครื่องมือที่วัดแล้วช่วยเราตัดสินใจว่า ควรจะไปสถานที่นี้หรือไม่ (ถ้าหากรู้ว่ามันอยู่ใกล้ ๆ กับที่ ๆ คนมีความเสี่ยงเดินผ่าน กดลิฟท์ เข้าห้องน้ำ หรือจับราวบันไดเลื่อน) หรือว่าควรจะให้พนักงานคนนี้เข้ามาทำความสะอาดห้องพักในโรงแรมวันนี้หรือไม่ (ถ้ารู้ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เค้าอยู่ใกล้ผู้ป่วยระยะ 10 เมตร เป็นระยะเวลา 32 นาที)

จากอดีตของคน 1 คน ต่อมาเป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน ในกรณีนี้อาจจะเป็นความเสี่ยงของธุรกิจด้วย

คงจะดีไม่น้อย หากเราแค่มีเทอร์โมมิเตอร์ที่วัดอุณหภูมิย้อนหลังได้ 14 วัน

ความเสี่ยงอยู่กับคน และสถานที่ก็เสี่ยงเพราะคน

มีบทความหลายแหล่งยืนยันว่า เชื้อ COVID-19 อยู่ในอากาศและผิวสัมผัสได้นานเป็นพิเศษ นั่นจึงทำให้สถานที่พลอยมีความเสี่ยงไปด้วย

ช่วงแรก ๆ ที่ COVID-19 ระบาด เราตื่นตระหนกกับสถานที่เสี่ยงกันเป็นที่เอิกเกริก อ้างอิงเป็นสถานที่ เป็นโรงแรม หรือเป็นย่านกันตามสื่อต่าง ๆ แต่เมื่อลองพิจารณาดี ๆ สถานที่เหล่านั้นเสี่ยงก็เพราะคนที่เสี่ยงเดินทางเข้าไป

ถ้าคนที่มีความเสี่ยงเดินเข้าไปในร้านโล่ง ๆ ร้านก็มีความเสี่ยง ในทางกลับกัน ถ้าคนที่ไม่มีความเสี่ยงยัดทะนานเข้าไปในร้านใดร้านหนึ่ง ร้านนั้นก็ไม่มีความเสี่ยง

ความเสี่ยงเกือบทั้งหมดอยู่ที่คน และอยู่กับคน

ระบบติดตามผู้ป่วยดีเพียงพอแล้วหรือยัง?

ประโยชน์ของการมีข้อมูลการพบปะ เคลื่อนย้ายของประชาชนที่รวดเร็ว ครอบคลุม ครบถ้วน คือการติดตามย้อนกลับ หากมีการเก็บข้อมูลเหล่านั้นทางแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่จำเป็นจะต้องระบุตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะการติดตามสามารถกระทำได้โดยการย้อนกลับอยู่แล้ว (หรือหากจะเก็บข้อมูลที่ระบุตัวตน และจะใช้ข้อมูลนั้น ก็ควรจะมีวิธีในการยืนยัน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด)

ยังมีกรณีที่ผู้ปกครองควรสนใจคือ หากข้อมูลเคลื่อนย้ายของผู้มีความเสี่ยงโรค COVID-19 เข้าใกล้พื้นที่โรงเรียน (ต้องใช้คุณสมบัติ GPS ในเครื่อง) ควรจะสามารถแจ้งเตือนไปยังโรงเรียนในพื้นที่หรือไม่

จากอิทธิฤทธิ์ในการแพร่ของเชื้อ COVID-19 นั้น การติดตามผู้มีความเสี่ยงที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ จะทำให้โอกาสที่เชื้อแพร่กระจายน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

หลายประเทศใช้เทคโนโลยีในการติดตามตัว จากตัวเลือก Bluetooth, GPS หรือ QR Check-in

เรากำลังย้อนกลับไปต้นเดือนมีนาคม

ประเทศไทยมีผู้ป่วย COVID-19 เมื่อ 1 มีนาคม 2563 อยู่ 42 ราย (10 มีนาคม มี 53 ราย / 20 มีนาคม มี 322 ราย / 30 มีนาคม มี 1,524 ราย) สถานการณ์ตอนนี้ (ปลายพฤษภาคม 2563) คงคล้ายกับการย้อนกลับไปเวลานั้น ที่เริ่มมีการปิดเมือง เริ่มมีการให้ทำงานจากที่บ้าน ยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศ

ที่ต่างออกไปในทางดีคือความพร้อมด้านสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนที่มีความเข้าใจโรคที่มีเพิ่มมากขึ้น จุดนั้นที่คิดว่าให้ความอุ่นใจพวกเราได้ว่า หมอเอาอยู่ — ในทางกลับกันคือคนที่มีความเสี่ยงแต่ไม่ได้รับการตรวจในปลายเดือนพฤษภาคม น่าจะมีมากกว่าในต้นเดือนมีนาคมอย่างแน่นอน

และเมื่อเราเปิดสนามบิน มีการทำการบินจากโซนที่โรคระบาดยังอาละวาดอยู่ มีคนที่มีความเสี่ยงติดโรคปะปนในจำนวนคนผ่านสนามบินนานาชาติ วันละ 200,000 คนเหมือนตอนต้นปีแล้ว เราจะสามารถยืนยันว่าระบบติดตามทั้งหมดที่เรามีจะ”เอาอยู่”

เพราะอดีตของคน 1 คน เป็นความเสี่ยงต่ออนาคตของคนทุกคน

…ทำให้ต้องคิดวนกลับไปที่คำถามเรื่องการเปิดโรงเรียนนานาชาติอีกครั้ง ผมได้คำตอบแล้วว่าผมคงไม่ไว้ใจเทคโนโลยีที่ภาครัฐได้เตรียมการไว้ ตลอดจนกระบวนการเปิดเมืองที่ปฏิบัติกัน พอที่จะเอาชีวิตหรือสุขภาพของคนในครอบครัวไปเสี่ยง

และคงจะไม่ใช่เฉพาะกรณีนั้นเพียงอย่างเดียว ในไม่ช้าก็จะมีการเปิดทุกโรงเรียน เปิดกิจการทุกประเภท เป็นปกติ ตามฐานชีวิตใหม่หลัง COVID-19 หากตอนนั้นคำตอบประเด็นข้างบนยังไม่มีความชัดเจน เราก็เสียเวลาที่แสนล้ำค่าไป 3 เดือน

บทความโดย คุณฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ (รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล)

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...