วิกฤตซ้อนวิกฤตเกษตรไทย! ‘เสียแชมป์-ผลผลิตต่ำ-งานวิจัยติดลบ’ ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ชี้ทางรอด ต้องผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่

ในความทรงจำของคนไทยและสายตาของชาวโลก ประเทศไทยคืออู่ข้าวอู่น้ำแห่งเอเชีย คือ 'ครัวของโลก' ที่ความอุดมสมบูรณ์บนผืนดินดูเหมือนจะเป็นพรที่ไม่มีวันหมดสิ้น ทว่า ภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งดังกล่าวกลับกำลังถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณแห่งสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ภายในงาน Thailand Economic Outlook 2026 ไม่ใช่เพียงการนำเสนอข้อมูล แต่เป็นการพาให้เราต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่ากลัวว่าภาคเกษตรกรรมไทยไม่ได้เพียงแค่ชะลอตัว แต่กำลังป่วยหนักด้วยโรคเชิงโครงสร้างที่กัดกินลึกลงไปถึงแก่นแกนของเศรษฐกิจ และหากไม่ได้รับการ 'ผ่าตัดใหญ่' อย่างทันท่วงที อนาคตของภาคส่วนที่เคยเป็นกระดูกสันหลังของชาติอาจเดินทางไปสู่ทางตันอย่างสมบูรณ์

มรดกที่กำลังเลือนราง เมื่อสมการแห่งความสำเร็จในอดีตใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ความยิ่งใหญ่ของภาคเกษตรไทยในอดีตตั้งอยู่บนสมการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ เก่งบวกเฮง ความเฮงคือความโชคดีทางภูมิศาสตร์ที่ธรรมชาติมอบให้ ทั้งความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินและแหล่งน้ำ ทำเลที่ตั้งที่ปลอดจากพายุรุนแรงเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน และความหลากหลายทางชีวภาพอันมหาศาล ปัจจัยเหล่านี้เปรียบเสมือนต้นทุนที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่ความเฮงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างชาติได้ ต้องประกอบกับความเก่งอันเป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมมาของเกษตรกรไทย ดร. นิพนธ์ได้อ้างอิงถึงกลยุทธ์ปลูกเผื่อของคนสมัยก่อน ที่เข้าใจในความไม่แน่นอนของลมฟ้าอากาศจึงผลิตเกินความต้องการไว้เสมอ ทำให้ไทยมีอาหารเหลือส่งออกเป็นสินค้าสำคัญมาตั้งแต่อดีต กอปรกับวิสัยทัศน์ของภาครัฐในยุคก่อนที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและผลักดันการส่งออกอย่างจริงจัง จนภาคเกษตรกลายเป็นจักรกลขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทว่า วันนี้สมการดังกล่าวได้หมดความขลังลงแล้ว สัญญาณเตือนดังขึ้นจากทุกทิศทางจนกลายเป็นสิ่งที่ยากจะเพิกเฉยได้อีกต่อไป ตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่สุดคือ ภาวะขาดดุลด้านผลิตภาพ (Productivity Deficit) ที่ผลผลิตต่อไร่ของไทยต่ำกว่าคู่แข่งอย่างน่าใจหาย ภาวะเช่นนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในงานวิจัย แต่มันส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ต้นทุนการผลิตของเราสูงกว่าและปริมาณผลผลิตน้อยกว่า จนนำไปสู่การสูญเสียสถานะผู้นำในตลาดโลกอย่างเจ็บปวด โดยเฉพาะในตลาดข้าวหอมมะลิที่เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญ วิกฤตการณ์ยังได้เผยให้เห็นความเสื่อมโทรมด้านนวัตกรรมที่น่าตกใจ ผ่านภาพสะท้อนที่ว่าชาวนาไทยจำต้องนำเข้าพันธุ์ข้าวจากเวียดนามมาปลูก เพราะระบบวิจัยและพัฒนาของเราไม่สามารถสร้างสรรค์พันธุ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ทันท่วงทีอีกต่อไป นี่คืออาการของระบบที่กำลังอ่อนแอลงจากภายใน

ความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่กัดกินประเทศ

เพื่อที่จะเข้าใจปัญหาให้ถูกจุด เราจำเป็นต้องเข้าใจถึงต้นตอของมันเสียก่อน ดร.นิพนธ์ได้ทำการวิเคราะห์ภาคเกษตรไทยอย่างละเอียด และชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวเชิงโครงสร้างที่เชื่อมโยงและซ้ำเติมซึ่งกันและกันจนเกิดเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตในปัจจุบัน

ความล้มเหลวประการแรกและอาจนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้ คือ ความล้มเหลวด้านการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เทคโนโลยีเคยเป็นหัวใจของการเติบโต แต่ปัจจุบันกลับถูกทอดทิ้งอย่างสิ้นเชิง การจัดสรรงบประมาณด้านการวิจัยที่น้อยนิดอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับมูลค่ามหาศาลของผลผลิตภาคเกษตร ได้ส่งผลให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของตนเอง นำไปสู่ภาวะสมองไหล ที่นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญรุ่นเก่าเกษียณอายุไปโดยไม่มีคนรุ่นใหม่มาสืบทอดองค์ความรู้ เมื่อไร้ซึ่งนวัตกรรมเป็นเกราะป้องกัน ภาคเกษตรไทยจึงเปราะบางลงเรื่อยๆ

โดย ดร. นิพนธ์ ได้ยกตัวอย่างงบวิจัยของกรมการข้าวที่มีเพียง 180 ล้านบาท เทียบกับมูลค่า GDP ข้าวที่สูงกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น จนทำให้วันนี้ชาวนาไทยต้องนำเข้าพันธุ์ข้าวจากเวียดนามมาปลูก สะท้อนความอ่อนแอในการจัดการทุนวิจัยอย่างชัดเจน

ความล้มเหลวนี้ถูกซ้ำเติมโดย ความล้มเหลวด้านนโยบาย ที่ทำให้ประเทศติดอยู่ในกับดักประชานิยม เมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมได้ รัฐบาลในหลายยุคสมัยจึงหันไปใช้วิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นผ่านนโยบายอุดหนุนแบบให้เปล่า ซึ่งแม้จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แต่กลับสร้างบาดแผลระยะยาวด้วยการทำลายแรงจูงใจในการปรับตัวและพัฒนาของเกษตรกร ก่อให้เกิดวัฒนธรรมแห่งการรอความช่วยเหลือแทนที่จะเป็นการลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างภาระทางการคลังมหาศาล แต่ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ภาคเกษตรไทยย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

ปัญหาทั้งสองได้หยั่งรากลึกลงบน ความล้มเหลวด้านโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีมายาวนาน นี่คือปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุด การที่แรงงานเกือบหนึ่งในสามของประเทศกระจุกตัวอยู่ในภาคเกษตร แต่กลับสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ คือภาพสะท้อนของความไร้ประสิทธิภาพและความไม่สมดุลอย่างรุนแรง สิ่งนี้ได้สร้างช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ โดยรายได้ต่อหัวของคนในภาคเกษตรต่ำกว่านอกภาคเกษตรเกือบ 5 เท่าตัว สภาวะเช่นนี้ทำให้ชนบทกลายเป็นเพียงแหล่งพักพิงของแรงงานยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แทนที่จะเป็นพื้นที่แห่งโอกาสและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง

ท้ายที่สุด ปัญหาทั้งหมดถูกขมวดให้แน่นขึ้นด้วย ความล้มเหลวด้านการปรับตัว ต่อแรงกดดันใหม่ๆ โครงสร้างประชากรเกษตรกรที่เข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้การยอมรับเทคโนโลยีและการลงทุนเพื่ออนาคตเป็นไปได้ยาก ขณะเดียวกัน ภัยคุกคามจากภายนอกก็รุนแรงขึ้น ทั้งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่คาดเดายาก และกำแพงการค้าสีเขียวระลอกใหม่จากชาติตะวันตก ที่จะทำให้สินค้าเกษตรซึ่งผลิตโดยไม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่เป็นที่ต้อนรับในตลาดโลกอีกต่อไป

แผนปฏิรูป 3 ขั้นตอนเพื่อสร้างอนาคตใหม่

แม้ภาพจะดูมืดมน แต่ ดร. นิพนธ์ยืนยันว่ายังไม่สายเกินไปที่จะแก้ไข หากมีความกล้าหาญที่จะ 'ผ่าตัดใหญ่ประเทศ' โดยวางอยู่ 3 ขั้นตอนที่ต้องดำเนินไปพร้อมกันอย่างเป็นระบบ เพราะแต่ละส่วนล้วนเชื่อมโยงและเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน

ขั้นแรกคือ การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งเปรียบเสมือนการติดเครื่องยนต์ใหม่ให้กับภาคเกษตรที่กำลังจะหมดแรง การจะทำเช่นนั้นได้ ต้องเริ่มต้นจากการยกระดับการลงทุนด้าน R&D ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนที่ 2% ของ GDP ภาคเกษตร พร้อมทั้งทลายกำแพงไซโลข้อมูลของหน่วยงานราชการเพื่อสร้าง Data Ecosystem ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ที่ใช้ IoT และ Drone เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ไปจนถึงการลงทุนในเทคโนโลยีชีวภาพและจีนเอ็ดดิทิง (Gene Editing) เพื่อสร้างความมั่นคงทางพันธุ์พืช และที่สำคัญคือการส่งเสริมเกษตรกรรมฟื้นชีวิต (Regenerative Agriculture) เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนที่ตลาดโลกกำลังเรียกร้อง

อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ดีที่สุดจะไร้ความหมายหากปราศจากคนที่มีคุณภาพ ขั้นที่สองจึงเป็น การยกระดับทุนมนุษย์และสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก 'ชาวนาผู้ยากไร้ ไปสู่ ผู้ประกอบการเกษตรมืออาชีพ' โดยรัฐต้องสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดเกษตรกรสองรูปแบบหลัก คือ เกษตรกรแปลงใหญ่ ที่สามารถสร้างรายได้สูงจากการทำฟาร์มขนาดใหญ่ และ กลุ่มสหกรณ์เกษตรที่เข้มแข็ง ที่สามารถรวมตัวกันเพื่อแปรรูปและสร้างแบรนด์ของตนเองได้ พร้อมกันนั้น ต้องสนับสนุนกลุ่ม Young Smart Farmer และ AgriTech Startup ที่เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความเปลี่ยนแปลงให้เติบโตและหยั่งรากได้อย่างแข็งแรง

ขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปและท้าทายที่สุด คือ การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและกฎหมาย เป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง 'ห่วงโซ่มูลค่าเกษตรและอาหาร (Agri-food value chain)' ที่แข็งแกร่งและกระจายตัวอยู่ในชนบท เพื่อย้ายคนจากภาคเกษตรต้นน้ำเกือบ 30% ที่สร้าง GDP ได้เพียง 8% ไปสู่ภาคส่วนกลางน้ำและปลายน้ำที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวชุมชน โลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมชีวภาพ การจะทำเช่นนี้ให้สำเร็จได้นั้น จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้มีความสมดุลและเอื้อต่อการลงทุนระยะยาว การปฏิรูปกฎหมายบังคับคดีเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ดิน และการตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิก สหภาพนานาชาติเพื่อคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (International Union for the Protection of New Varieties of Plants - UPOV) เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชจากภาคเอกชน

วาระแห่งชาติที่รอการตัดสินใจ

ข้อเสนอของ ดร. นิพนธ์ พัวพงศกร ไม่ใช่เพียงแผนฟื้นฟูภาคเกษตร แต่คือแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งระบบ นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ต้องการความกล้าหาญทางการเมืองและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ หรือการแก้ปัญหาแบบไฟไหม้ฟางไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแพร่งสำคัญ ที่ต้องเลือกระหว่างการจมอยู่กับมรดกแห่งอดีตที่กำลังเสื่อมสลาย หรือจะลุกขึ้นมาผ่าตัดใหญ่ เพื่อสร้างอนาคตใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญา นวัตกรรม และความเป็นธรรม

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ว่าเราควรจะทำหรือไม่ แต่คือเราจะเริ่มลงมือทำเมื่อใด การจัดตั้งคณะทำงานเร่งด่วน ระดับชาติ เพื่อขับเคลื่อนวาระแห่งการปฏิรูปนี้อย่างจริงจังตามข้อเสนอของ ดร.นิพนธ์ คือก้าวแรกที่จำเป็นและเร่งด่วนที่สุด เพื่อให้เแนวทางที่ถูกจดลงบนกระดาษได้กลายเป็นความจริง และเพื่อสร้างความหวังให้กับอนาคตของคนไทยทุกคน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอดบทเรียนจากสัตว์สู่มนุษย์ 4 วิธี ‘กึ่งจำศีล’ ฉบับคนทำงาน เพื่อหนีความรู้สึก Burnout ช่วงปลายปี

วิทยาศาสตร์ยืนยัน ความขี้เกียจหน้าหนาวคือเรื่องปกติ! เจาะลึก Neuroscience เบื้องหลังการ 'จำศีล' ของมนุษย์ พร้อมวิธีพักผ่อนแบบ Wintering เพื่อกู้คืนสมองและเพิ่ม Productivity รับปีให...

Responsive image

ทางรอดใหม่ในตลาดงาน 2025 ทำไม Apprenticeships หรือการฝึกทักษะวิชาชีพ ถึงกำลังมาแรงแซงใบปริญญา

ตลาดแรงงานกำลังเปลี่ยน ใบปริญญาไม่ใช่คำตอบเดียว คนรุ่นใหม่จำนวนมากทิ้งงานออฟฟิศ หันเรียนทักษะอาชีพเพื่อความมั่นคงระยะยาว...

Responsive image

ตอบคำถามสัมภาษณ์งานปราบเซียน ช่วยแนะนำตัวหน่อย อย่างไรให้ชนะใจ HR ด้วยสูตร 3 ขั้นตอน

เจาะลึกสูตร Present-Past-Future จากโค้ชอาชีพชื่อดัง เผยวิธีตอบคำถาม “ช่วยแนะนำตัวให้ฟังหน่อย” ในการสัมภาษณ์งาน ให้ดูโปร มีทิศทาง และสร้างความประทับใจตั้งแต่นาทีแรก...