มหิดล เปิดกลยุทธ์ชุดใหญ่ สร้าง 'Real World Impact' ยกระดับการแพทย์ ตั้งโรงงานยาที่มีชีวิต

มหาวิทยาลัยมหิดล เดินหน้าขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยรับเมกะเทรนด์ โดยประกาศทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่ ทั้งด้านการศึกษา วิจัย และบริการสุขภาพ สู่การเป็นศูนย์กลางองค์ความรู้และนวัตกรรมระดับโลกที่สร้าง 'Real World Impact' ผลกระทบเชิงบวกในทุกมิติ และวัดผลได้จริง ทั้งยังมุ่งเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวม มุ่งปั้นโรงงานยาที่มีชีวิต ยกระดับวงการแพทย์ และผลักดันไทยสู่ศูนย์กลาง Cell & Gene Therapy แห่งภูมิภาค รวมถึงการนำงานวิจัยมาทำให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ 

มองเมกะเทรนด์โลกในมุม ม.มหิดล

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญกับกระแสความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ใน 6 มิติ มหาวิทยาลัยมหิดลเองก็ต้องรับมือและปรับตัวตามให้ทัน และต้องเร่งทรานส์ฟอร์มสู่ยุคใหม่ในทุกมิติ โดยเมกะเทรนด์ทั้ง 6 มีดังนี้

  • 1. สังคมสูงวัย (Aging Society) ในอีก 8 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super Aging) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรและระบบการแพทย์และสาธารณสุขอย่างมาก 
  • 2. การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ที่ขับเคลื่อนโดย AI และเทคโนโลยีดิจิทัล 
  • 3. ภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจและนวัตกรรม 
  • 4. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงต่อความอยู่ดีมีสุขของคนทั่วโลก 
  • 5. การเปลี่ยนแบบแผนระหว่างช่วงชีวิต (Generation Change) การเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่หลากหลายมากขึ้น 
  • 6. การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร (Organization Change) ที่เน้นการทำงานแบบ Data-Driven และขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้าง Academic Impact โดยผลิตบัณฑิตคุณภาพมากกว่า 6,000 คนต่อปี และยังได้รับการจัดอันดับจากหลายภาคส่วน อาทิ ได้รับการจัดอันดับจาก THE Impact Ranking ให้เป็นอันดับ 1 ของไทย ได้รับการจัดอันดับจาก SDG3: Good Health & Well-Being เป็นอันดับ 3 ของโลก ได้รับการจัดอันดับจาก QS Ranking เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ใน 8 สาขาวิชาหลัก ในด้านดนตรีอยู่อันดับที่ 28 ของโลก 

เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเมกะเทรนด์เหล่านี้ มหาวิทยาลัยมหิดลจึงจัดทำหลายโครงการ ปักธงไว้หลายเป้าหมาย อาทิ 1) การเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะองค์รวมระดับโลก 2) มุ่งผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน 3) เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI + Health Care และ 4) ผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Health Tech ไทยสู่ระดับ Unicorn ฯลฯ โดยมีรายละเอียดดังนี้

สร้าง Academic Impact แล้ว ต้องสร้าง 'Real World Impact' ในทุกมิติ

มหาวิทยาลัยมหิดลไม่ต้องการมุ่งสร้าง Academic Impact เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องการใช้ความรู้สร้าง 'Real World Impact' ที่ช่วยแก้ปัญหา พัฒนาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ และเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีกว่าเดิม พร้อมมุ่งเป้าสู่การเป็น World-Class University และเป็น ผู้นำในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science) และสุขภาวะแบบองค์รวม (Holistic Wellbeing) ในระดับโลก โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนแบบองค์รวมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สอดคล้องตามเป้าหมาย SDGs ซึ่งในการมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว มหาวิทยาลัยดำเนินการโดยขับเคลื่อนผ่าน 3 กลไกหลัก ได้แก่


  • 1. From Research Lab to Commercialization 

ผลักดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง สร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ ผลักดันงานวิจัยไม่ให้อยู่แค่บนหิ้งแต่ส่งเสริมภาคเอกชนให้นำไปต่อยอดพัฒนาเป็นเทคโนโลยี นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ที่สร้างประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม และทำให้งานวิจัยไทย 'ขาย' และ 'แข่งขัน' ได้ในเวทีโลก 

โดยปัจจุบันมหาวิทยาลัยมหิดลมีผลงานวิจัยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรกว่า 2,557 รายการ และผลงานที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในเชิงพาณิชย์กว่า 415 รายการ มูลค่ากว่า 123.6 ล้านบาท ตัวอย่างการนำผลการวิจัยไปต่อยอดที่สำคัญของมหาวิทยาลัย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์ขั้นสูงด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) พร้อมสร้างโรงงานผลิตยาที่มีชีวิตเป็นศูนย์กลางการรักษาด้วยยีนบำบัดและเซลล์บำบัดแห่งแรกของประเทศไทย การพัฒนาวัคซีนและชีวเภสัชภัณฑ์ เช่น วัคซีนมาลาเรียและไข้เลือดออก ที่ถูกนำไปใช้ในระดับสากล PharmTOP โรงงานยาที่ผลิตจากสมุนไพร

  • 2. From Education to Real World Impact 

มหิดลกำลังทรานส์ฟอร์มการศึกษาสู่การเรียนรู้ไร้พรมแดน เน้นการศึกษาแบบ Outcome-Based Education สร้างบัณฑิตตอบโจทย์โลกยุคใหม่ให้เป็น World Citizenship ที่ไม่ใช่แค่มีความรู้ทางวิชาการ แต่ต้องพร้อมทำงานจริง สามารถทำงานร่วมกับเครือข่าย ปรับตัวและเอาตัวรอดได้ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีทักษะแห่งอนาคต โดยพัฒนาหลักสูตรที่ยืดหยุ่น หลากหลาย ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ไม่ว่าจะเป็น Hybrid Programs ที่ผสมหลักสูตรข้ามศาสตร์ หลักสูตรระยะสั้น (Micro-Credentials) ที่เน้นการพัฒนาทักษะเฉพาะทางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการ Upskill/Reskill การเรียนรู้แบบ Self-Paced Learning ที่ผู้เรียนสามารถออกแบบและกำหนดระยะเวลาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเองได้ และที่สำคัญ คือ ไม่กําหนดอายุผู้เรียน ส่งเสริม Lifelong Learning เพื่อเปิดโอกาสให้บุคคลทุกช่วงวัยสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต ผ่านแพลตฟอร์ม MU-ALL

นอกจากนี้ ยังมุ่ง Upskill บุคลากรด้านสาธารณสุขโดยเปิดหลักสูตร วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาชุมชนสุขภาวะและความยั่งยืน เพื่อให้บุคลากรในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษา โดยมีโครงการนำร่องที่วิทยาเขตอำนาจเจริญเป็นแห่งแรก พร้อมพัฒนาหลักสูตรใหม่ GenEd Plus เพื่อเสริมสร้างทักษะในการเป็น พลเมืองโลกที่พร้อมปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่ ตลอดจนส่งเสริมการศึกษาไร้พรมแดนโดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่างๆ

  • 3. From Community Engagement to Real World Impact 

ลงมือทำเพื่อสังคม สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ขยายบทบาทจากสถาบันการศึกษาสู่ศูนย์กลางในการขับเคลื่อนสังคม สร้างผลกระทบที่จับต้องได้ ร่วมขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ ผ่านการจัดทำ Policy Lab เช่น โครงการลดอุบัติเหตุทางถนน โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจจราจร กรมทางหลวง นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจราจรและภาคประชาชน เพื่อร่วมกันค้นหาต้นเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ แนวทางที่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทดลองทำโครงการต้นแบบขึ้นในพื้นที่ศาลายา และจะขยายผลไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมผลักดันเชิงนโยบาย (Policy Advocacy) เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทยอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังมีโครงการ '9 to Zero' หรือ 'ก้าวสู่ศูนย์' โดยดำเนิน 9 มาตรการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในมหาวิทยาลัยเป็นศูนย์ภายใน 9 ปี หรือ ภายใน พ.ศ. 2573

พลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย เขย่าอาเซียน

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรกล่าวว่า จะมุ่งส่งเสริมและผลักดันใน 3 ด้านหลัก สู่การพลิกโฉมวงการสาธารณสุขไทย ประกอบด้วย

  • 1. ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางด้านเซลล์บำบัดและยีนบำบัด (Cell and Gene Therapy) ระดับอาเซียน

มหาวิทยาลัยมหิดลจะเป็นผู้นำในการสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ของการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยืนบำบัดในประเทศไทยตั้งแต่การส่งเสริมพัฒนางานวิจัย การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมการผลิตเชิงอุตสาหกรรม ไปจนถึงการผลักดันนโยบายและความร่วมมือระดับนานาชาติ ควบคู่ไปพร้อมกับการเร่งปรับปรุงโรงงานยาที่มีอยู่เดิมให้เป็น โรงงานยาที่มีชีวิต (MU-Bio Plant) สำหรับผลิตยากลุ่ม Advanced Therapy Medicinal Product (ATMP) เพื่อรองรับการการรักษาแบบเซลล์บำบัดและยีนบำบัดในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาโรคมะเร็งและโรคร้ายแรงอื่นๆ ได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมากแล้ว ยังจะส่งเสริมให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเซลล์บำบัดและยีนบำบัดของภูมิภาคอาเซียน ยกระดับมาตรฐานวงการแพทย์ไทยให้ทัดเทียมสากล

  • 2. เสริมศักยภาพการแพทย์และสาธารณสุขไทยด้วย AI & Health Care 

นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการแพทย์และระบบสาธารณสุข โดยร่วมมือกับ บริษัท สยาม เอไอ คลาวด์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็น NVIDIA Cloud Partner (NPC) เพียงรายเดียวในประเทศไทย นำนวัตกรรมที่ทันสมัย และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์ เช่น การวินิจฉัยโรค การคาดการณ์แนวโน้มของโรค การคาดการณ์ความเสี่ยงโรคเรื้อรัง การดูแลสุขภาพส่วนบุคคล และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ให้มีความเชี่ยวชาญด้าน AI และ Health Tech ให้สามารถใช้งานได้จริง ตลอดจนเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการแลกเปลี่ยนทางวิชาการระหว่างคณาจารย์ นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อถ่ายทอดความรู้และทักษะทางเทคนิคร่วมกัน

  • 3. สร้าง Startup Ecosystem และผลักดัน Startup Health Tech ไทย ก้าวไกลสู่ระดับ Unicorn 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรเปิดเผยว่า ตั้งเป้าให้มหาวิทยาลัยมหิดลเป็น One Stop Service สำหรับส่งเสริมและพัฒนา Health Tech Startup และสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร โดยจัดตั้งโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ทอัพ (Health Tech Incubator & Accelerator) ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก เช่น Silicon Valley รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) เพื่อร่วมกันสนับสนุนและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยในทุกมิติ ตั้งแต่การพัฒนาเทคโนโลยี การส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุน ไปจนถึงการขยายตลาดเพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยมี Unicorn Startup ในสาย Health Tech

“มหาวิทยาลัยมหิดล ถือเป็นต้นแบบที่สะท้อนถึงความสำเร็จครอบคลุมหลายมิติจากหลายๆ โครงการ ที่เริ่มจากงานวิจัยจนนำมาสู่การต่อยอดให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ตอกย้ำเป้าหมายการเป็น Mahidol University For Real World Impact ในการเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านการวิจัยและสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสุขภาวะองค์รวมระดับโลกได้อย่างแท้จริง” ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตรกล่าวสรุป

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

SAMA เปิดตัวในกรุงเทพฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมการตลาดไทย

SAMA เครือข่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเอเจนซีด้านการตลาดและนวัตกรรมชั้นนำทั่วเอเชีย เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ณ SCB Next Tech ศูนย์การค้าสยามพารากอน...

Responsive image

Bolt เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ‘เรียกรถมารับ ตามเวลาบิน’ ไม่ต้องลุ้นไฟลท์ดีเลย์ ปรับเวลาเรียลไทม์

ครั้งแรกในไทย! โบลท์ (Bolt) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “ติดตามเที่ยวบินอัตโนมัติ” สำหรับจองรถล่วงหน้า ช่วยให้ผู้โดยสารมั่นใจได้แม้เที่ยวบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก พร้อมให้บริการแล้วที่สนามบินห...

Responsive image

Quick ERP เปิดตัว Quick Carbon R และ Quick Energy โซลูชั่นเพื่อ ESG ที่งาน AUTOMATION EXPO 2025

Quick ERP เปิดตัว Quick Carbon R และ Quick Energy ในงาน AUTOMATION EXPO 2025 ส่งสัญญาณชัดสู่ยุค ESG-First ด้วยแพลตฟอร์มบริหารคาร์บอนและพลังงานแบบ Real-time ที่เชื่อมโยง IT + OT + A...