Ken Griffin ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้ฝากเงินใน SVB ได้รับการช่วยเหลือ ควรปล่อยให้เป็นบทเรียนเรื่อง Moral Hazard | Techsauce

Ken Griffin ไม่เห็นด้วยกับการที่ผู้ฝากเงินใน SVB ได้รับการช่วยเหลือ ควรปล่อยให้เป็นบทเรียนเรื่อง Moral Hazard

Ken Griffin ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ Citadel เป็นหนึ่งในเศรษฐีและผู้จัดการกองทุนที่ไม่เห็นด้วยกับการแทรกแทรงของรัฐบาลในเรื่องของธนาคาร Silicon Valley Bank (SVB) ที่มีปัญหา ตามมาด้วยธนาคารอื่นๆ ที่เจอปัญหาเรื่องสภาพคล่องและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ไม่มีประสิทธิภาพจนรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยอุ้มธนาคารและผู้ฝากเงิน

Griffin ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times ว่าการที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (FED) เข้ามาแทรกแทรงและให้ FDIC คุ้มครองวงเงินของผู้ฝากเงินแบบเต็มจำนวนนั้น จากเดิมเพดานการรับประกันสูงสุดอยู่ที่ 250,000 ดอลล่าห์ การทำแบบนี้จะทำให้เกิดความสูญเสียเรื่องวินัยทางการเงิน และเป็นการทรยศต่อระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของสหรัฐอเมริกาแบบต่อหน้าต่อตา

เขามองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะปล่อยให้ผู้ฝากเงินของ SVB สูญเสียเงินของพวกเขาทั้งหมด เพื่อที่จะให้ได้เป็นบทเรียนเรื่อง Moral Hazard ทำไม Griffin ถึงมีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น แล้วอะไรคือ Moral Hazard ผู้ฝากเงินมีทางเลือกอะไรบ้าง Can Bitcoin fix this? หาคำตอบได้ในบทความนี้

Ken Griffin

อ่านบทความ: SVB Financial Group ยื่นล้มละลาย ย้อนอ่าน Timeline วิกฤต Silicon Valley Bank

Moral Hazard คืออะไร

จริยวิบัติ หรือ Moral Hazard คือการที่ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มธุรกิจ เข้าหาความเสี่ยงมากขึ้นเพราะรู้ว่ามีการรับประกันอยู่ จึงไม่ต้องห่วงผลของการกระทำ เพราะมีคนอื่นรับผิดชอบให้ โดยแนวคิดนี้มักจะถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์ในกรณีที่มีการออกมาตรการช่วยเหลือหรือมีการเข้ามาอุ้มกิจการ รวมไปถึงนโยบายการยกเลิกหนี้ต่างๆ โดยภาครัฐ

ยกตัวอย่างกรณีของ SVB ที่รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ทุกคนที่รู้ตัวว่าจะได้รับการช่วยเหลือนั้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะได้รับการช่วยเหลือแน่นอน ก่อให้เกิดปัญหาการจัดการความเสี่ยงที่นำไปสู่ความผิดพลาดทางการเงินในที่สุด เกิดเป็นวัฐจักรของ Moral Hazard ที่วนเวียนระหว่างภาคธุรกิจและภาครัฐ ที่ต้องการเพิ่มความเสี่ยงเพื่อหวังผลกำไรมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงก็สามารถนำไปสู่การล้มละลายได้

Source: SketchBubble

ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน

จากเหตุผลข้างต้นทำให้หลายคนมีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยเหลือธนาคารที่กำลังมีปัญหาและกำลังจะล้ม นอกจาก Ken Griffin ที่ไม่เห็นด้วยแล้วยังมีนักเศรษฐศาตร์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค Nouriel Roubini ที่ออกมาทวีตว่าการที่เฟดหรือธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้ามาช่วยเหลือผู้ฝากเงินที่ได้รับผลกระทบจากธนาคาร Signature Bank ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี่เป็นหลัก ว่าเป็นอภิมหาจริยวิบัติ (“mother of [all] moral hazards”) ที่สร้างผลประโยชน์ให้กับคนที่ไม่คู่ควรหรือพวกต้มตุ๋น

Lawrence Summers อดีตเลขากระทรวงการคลังสหรัฐฯ สนับสนุนการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายและมองว่าเป็นการปกป้องผู้คนที่มีการตัดสินใจผิดพลาด และไม่ใช่เวลาที่จะมาสอนหรือซ้ำเติมเรื่องของ Moral Hazard โดยหลังจากการทวีตของ Lawlence รัฐบาลก็ได้ออกมาประกาศช่วยเหลือผู้ฝากเงินใน SVB

Bill Ackman เป็นอีกหนึ่งมหาเศรษฐีและผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง หรือ เฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) ที่ออกมาสนับสนุนให้เพิ่มวงเงินประกันเป็นเต็มจำนวน แทนที่จะประกันแค่ 250,000 ดอลล่าห์ เนื่องจากข่าวในโซเชียลมีเดียที่สร้างความตื่นตัวได้อย่างรวดเร็วประกอบกับดิจิตอลแบงค์กิ้งที่ทำให้การถอนเงินง่ายขึ้น ทำให้ไม่มีธนาคารไหนจะรอดจาก Bank Run ได้เว้นแต่จะมีการประกันเงินเต็มจำนวน

บทเรียนจากประวัติศาตร์สู่การกำเนิดของตัวเลือกใหม่

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ให้บริการทางการเงินอย่างธนาคารต่างๆ เกิดปัญหา ในอดีตที่ผ่านมาช่วงที่มีวิกฤติเศรษฐกิจก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว เช่น วิกฤติปี 1980-1994 และซับไพรม์ปี 2007-2008 ทำให้เห็นได้ว่าระบบธนาคารมีปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เงิน การขึ้นดอกเบี้ย และการบริหารงานผิดพลาดของธนาคารจนทำให้เกิดการล้มเป็นโดมิโน่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสร้างหนี้สินในระยะยาวอีกด้วย ถึงแม้ว่าบางคนจะมองการล้มของ SVB ว่าเป็นวิกฤติที่ต่างจากปี 2008 และยังสามารถจัดการได้ ไม่กลับไปร้ายแรงเหมือนในอดีต แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัจจัยหหลายอย่างในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากเดิม ทำให้ตลาดการเงินยากที่จะคาดเดาว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

การล้มของธนาคาร SVB และ Signature เปรียบเทียบกับวิกฤติปี 2008 โดยมีจำนวนความเสียหายใกล้เคียงกันและมีเส้นสีส้มแทนจำนวนธนาคาร (ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนาคม 2023 จาก Statista)

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีที่มีการแทรกแทรงจากรัฐบาลผ่านการเข้าอุ้มธนาคารถือเป็นเหตุผลในการถือกำเนิดของบิทคอยน์เลยก็ว่าได้ เพราะซาโตชิได้ทำการฝังข้อความลงในบล็อคแรกของบิทคอย์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ธนาคารได้รับการอุ้มจากรัฐบาลในปี 2009 นับตั้งแต่ปีนั้นทางเลือกใหม่ก็ได้กำเนิดขึ้นและยังอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ โดยสิ่งที่ทำให้บิทคอยน์เป็นทางเลือกใหม่ก็เพราะคุณสมบัติของการเป็นเงินที่ดีและไม่มี counter-party risk ถึงแม้ในช่วงแรกๆ อาจจะมีการติดขัดบ้างในเรื่องของการพัฒนา แต่ก็อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้และเริ่มขยับขยายตัวจากการเป็นแหล่งเก็บเงินที่ดี (Store Of Value) ไปสู่ตัวกลางการแลกเปลี่ยน (Medium Of Exchange) 

หน้าหนังสือพิมพ์ The Times พาดหัวเกี่ยวกับการอุ้มธนาคารในปี 2009

พูดง่ายๆ ก็คือผู้คนในวงการบิทคอยน์มองว่ามีความเป็นไปได้ที่บิทคอยน์จะมาแทนเงินเฟียตหรือเงินดอลล่าห์ ที่สามารถผลิตเพิ่มได้ไม่จำกัดผ่านการตัดสินใจของกลุ่มคนหรือรัฐบาลของประเทศเดียว ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อที่กระทบต่อการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจของคนทั้งโลก และจบด้วยการสกัดลดดอกเบี้ยพร้อมนโยบายต่างๆ จนเป็นผลลัพธ์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันกับการล้มและเข้าอุ้มธนาคาร ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้บิทคอยน์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ จากรายงานของ Goldman Sachs ข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2023 

(ทั้งนี้บิทคอยน์ยังมีความเสี่ยงอื่นที่ต้องระวังและมีความผันผวนที่สูง รวมไปถึงราคาที่เพิ่มขึ้นหลังจากวิกฤติธนาคารต่างๆ นั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็น Speculative Demand เนื่องจากราคาของคริปโตยกขึ้นทั้งตลาดแทนที่จะเป็นบิทคอยน์ตัวเดียวและคริปโตยังจัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอยู่)

Source: Goldman Sachs

อ้างอิง

FORTUNE

Axios

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 เคล็ดลับมองโลก จากผู้นำระดับท็อปที่ประสบความสำเร็จ

แม้ว่าจะไม่สูตรตายตัวที่จะประสบความสำเร็จแต่มี 5 อันดับที่ขาดไม่ได้ของเหล่า ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกตั้งแต่ Elon Musk , Jeff Bezos จนไปถึง Susan Wojcicki ถ้าอยากรู้ว่า...

Responsive image

5 คนที่ควรมีในชีวิต ถ้าคิดอยากประสบความสำเร็จ

เส้นทางสู่ความสำเร็จ เดินคนเดียวอาจไปถึงช้า จะดีกว่าไหมถ้ามีคนที่ใช่เคียงข้างไปด้วย บทความนี้จะชวนทุกคนตามหา 5 ความสัมพันธ์ที่เราควรมี เพื่อเส้นทางสู่ความสำเร็จ...

Responsive image

ถอด 4 บทเรียนธุรกิจ Taylor Swift ชื่อศิลปินที่มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท

Taylor Swift ไม่ใช่แค่ของชื่อศิลปินอีกแล้ว กลายเป็น Branding ที่มีมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ความสำเร็จของ Taylor Swift ก็มีส่วนที่หยิบมาใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจได้เช่นเดียวกัน...