นับตั้งแต่อดีต ในช่วงศตวรรษที่ 19 ขณะนั้น เวียดนาม อยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสอยู่ และฝรั่งเศสก็ได้นำเมล็ดกาแฟ และ วัฒนธรรมการดื่มกาแฟเข้ามายังเวียดนามจนทำให้เป็นที่นิยมแพร่หลาย และกลายเป็นประเทศที่มีสินค้าส่งออกเป็นกาแฟ ในอันดับที่ 2 ของโลกรองจากประเทศบราซิล
ตัดภาพมายังปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเวียดนาม เป็นประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้ามาลงทุนของบริษัทต่างชาติ ในด้านต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี ยานยนต์ การเกษตร รีเทล และอื่นๆ ทำให้ GDP ของเวียดนามในปี 2022 โตขึ้นถึง 8.02% นับเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 1997
ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นปัจจัยหลักที่ภาคธุรกิจหลายเจ้าเล็งเห็นแล้วว่าประเทศเวียดนามเป็นตลาดหนึ่งที่เหมาะกับการลงทุน และจะเข้ามากอบโกยรายได้ให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘Starbucks’ ธุรกิจเชนร้านกาแฟจากสหรัฐอเมริกาที่ตั้งใจเข้ามาลงทุนในเวียดนามเพื่อตอบสนองต่อวัฒนธรรมการดื่มกาแฟของชาวเวียดนาม ซึ่งถือเป็นปีที่ 10 แล้วในปีนี้
แต่ทั้งนี้ทั้งก็มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ Starbucks ไม่สามารถเข้าไปครองใจผู้บริโภคชาวเวียดนามได้ รวมถึงการลงทุนก็มีความเสี่ยงพอสมควรในเรื่องของรายได้ที่อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน ทั้งที่การลงทุนเดินทางมาถึง 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบ 100 สาขาเสียที เป็นเพราะอะไรหาคำตอบได้ในบทความนี้
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของ Starbucks เลยก็ว่าได้ หลังจากการเข้ามาบุกตลาดในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ โดยเฉพาะ ประเทศไทย ที่เปิดรับร้านกาแฟระดับโลกด้วยความยินดี ทำให้ Starbucks ประสบความสำเร็จในภูมิภาคนี้และเดินหน้าทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยคอนเซปและการออกแบบให้ภาพลักษณ์ของร้านมีบรรยากาศที่ Cozy เหมาะกับการนั่งอ่านหนังสือ หรือกิจกรรมอื่น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาในร้านและสั่งกาแฟในท้ายที่สุด นับว่าตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชาวอาเซียนได้เป็นอย่างดี
การขยายสาขาของ Starbucks เป็นไปอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ที่มีสาขาทั่วประเทศไปแล้วกว่า 400 สาขา ตามด้วยอินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ บวกกับเวียดนามที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐที่สูงจึงเป็นเป้าหมายใหม่ที่ Starbucks จะเข้าไปลงทุนนั่นเอง
Starbucks ออกตัวลงทุนในเวียดนามครั้งแรกเมื่อปี 2013 มาพร้อมกับความคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีหลังจากการศึกษาข้อมูล แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะในปี 2023 ปีนี้ เป็นการครบรอบ 10 ปี ของ Starbucks แต่ก็ไม่สามารถเปิดให้ครบ 100 สาขาได้ในไตรมาสแรกของปี 2023 ตามที่ตั้งใจไว้ อีกทั้ง กว่าครึ่งของสาขากระจุกตัวอยู่แค่ใน Ho Chi Minh City เท่านั้น นับว่าเชนร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ ยังตีตลาดไม่แตก แล้วอะไรคือเหตุผล?
หากย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 19 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสนำเมล็ดพันธุ์เข้ามาปลูกในเวียดนาม จนได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม และทำให้ช่วงหลังปี 2000 วัฒนธรรมการดื่มกาแฟก็ฝังรากลงไปในสังคมเวียดนามมากขึ้น โดยเริ่มเกิดเชนร้านกาแฟท้องถิ่นอย่าง Highlands Coffee และ Trung Nguyen เข้ามาครองส่วนแบ่งทางการตลาด และก็เป็นกระแสให้ Local Cafe ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นต้นมา
นับเป็นกระแสใหม่ที่เรียกว่า ‘Third-Wave’ ที่ทำให้ร้านกาแฟในเวียดนามเริ่มตกแต่งร้านในสไตล์ฮิปๆ พร้อม Free WiFi รวมถึงรัฐบาลของเวียดนามที่เปิดประเทศต้อนรับเทรนด์ใหม่ๆ ที่ทำให้กาแฟมุ่งเน้นไปที่เรื่องราว เบื้องหลัง ความพิเศษของเครื่องดื่มในแต่ละแก้ว และในแต่ละชนิดพันธุ์ของเมล็ดกาแฟอีกด้วย
โดยข้อมูลจาก Nikkei Asia ชี้ให้เห็นว่าเวียดนามมีร้านกาแฟมากถึง 19,000 แห่ง เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐอเมริกา จีน และเกาหลีใต้ เท่านั้น
โดยกาแฟท้องถิ่นเจ้าดังยังคงครองตลาดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ Highlands Coffee ที่มีถึง 600 สาขา รองลงมาคือ The Coffee House จำนวน 200 สาขา ตามด้วย Phuc Long และ Trung Nguyen Legend ในระดับเกือบร้อย เมื่อย้อนกลับไปไม่ใช่แค่ Starbucks ที่พยายามเข้ามาลงทุนในเวียดนามเท่านั้น The Coffee Bean & Tea Leaf ก็เคยเจอชะตากรรมแบบเดียวกันมาก่อน โดยมีสาขาแค่ 15 แห่ง ทั้งๆ ที่ทำตลาดมาแล้วถึง 15 ปี ในขณะที่ Gloria Jean’s Coffees ถอนตัวจากตลาดเวียดนามไปในปี 2017
อาจตั้งสมมติฐานได้ว่า ภาพลักษณ์ แบบ Luxurious Coffee อาจใช่ไม่ได้กับที่นี่ เพราะความลับนั้นอยู่ที่ ‘วัฒนธรรมและวิถีชีวิต’
“คนเวียดนามชอบกินข้าวที่ร้านอาหารแล้วไปนั่งคุยกันต่อที่ร้านกาแฟ การย้ายร้านเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน” เจ้าของร้าน Mindfully Cafe กล่าวกับ Nikkei Asia
และบางทีคนเวียดนามก็ชอบนั่งร้านกาแฟข้างถนนเพื่อดูวิถีชีวิตอีกด้วย รวมไปถึงความผูกพันของร้านกาแฟและลูกค้าอีกต่างหาก ถือเป็นวัฒนธรรมที่มีจุดแข็งและคนต่างชาติอาจจะยังไม่เข้าใจ
นอกจากนี้ สิ่งที่ Starbuck ยังไม่สามารถทำได้ในตลาดเวียดนามคือ Local Menu เวียดนามมีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่แข็งแกร่ง มี Local Menu ที่หลากหลายเสียจนเชนร้านกาแฟอาจปรับตัวไม่ทัน ราคาที่ถูกกว่า รวมไปถึงเมล็ดพันธุ์ของกาแฟที่เลือกใช้ด้วย
1.รสชาติที่ไม่ถูกใจ
Trang Do ศินปินสาวจากดานังกล่าวกับ BBC ว่า ถึงแม้เธอจะดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว แต่เธอไม่เคยเจ้า Starbucks เลยเพราะ “เมนูของ Starbucks ไม่หลากหลาย” หากแต่เมื่อเธอได้ลอง เธอก็ให้ความเห็นว่า “จืดชืดและไม่เหมือนกาแฟ” สำหรับเธอแล้วกาแฟเวียดนามนั้นชนะขาดลอย
“มันเข้มขนกว่า หอมกว่า วิธีการชงกาแฟเวียดนามด้วยตัวกรองช่วยให้สกัดกาแฟได้มากขึ้น เวลาชงกาแฟ…แล้วเติมน้ำร้อนลงไปให้มันสกัดกาแฟแล้วหยดลงช้า…มันดีที่สุด”
Vietnamese coffee : Phin
2.ราคาที่แพงกว่าค่าครองชีพ
Starbucks มีราคาแพงสำหรับตลาดเวียดนาม หากคุณมีโอกาสเดินทางไปเวียดนาม บนถนนที่พลุกพล่านจะมีร้านกาแฟอย่างน้อย 10 ร้าน ตั้งแต่แผงลอยริมถนนไปจนถึงร้านกาแฟสุดฮิป และการดื่มกาแฟยังห่างไกลจากความหรูหราในประเทศที่คนขายกาแฟข้างถนนที่เข็นรถเข็น มักจะเสิร์ฟเครื่องดื่มบนโต๊ะพลาสติกเล็กๆ ราคาถูก
ค่าใช้จ่ายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเวียดนามลังเลที่จะไป Starbucks แม้ว่าจะเพลิดเพลินไปกับความแปลกใหม่ของมันก็ตาม เครื่องดื่มไซส์ Grande ที่ Starbucks มีราคาประมาณ 90,000 ดองเวียดนาม (ประมาณ 3.8 ดอลลาร์) ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ประเทศที่ค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 345 ดอลลาร์เท่านั้น
แม้แต่ Highlands หนึ่งในเครือข่ายร้านกาแฟแห่งแรกของเวียดนามและประสบความสำเร็จมากที่สุด ก็เปิดตัวในฐานะร้านกาแฟหรูหรา แต่ในที่สุดก็ถูกรีแบรนด์และลดราคาลง
3.Robusta ครองใจคนเวียดนามมากกว่า Arabica
พูดถึงเรื่องสายพันธุ์ของเมล็ดกาแฟ ฝรั่งเศสนำ Arabica เข้ามาสู่เวียดนามก่อนแต่ไม่สามารถปรับตัวได้ดีกับสภาพอากาศและดินที่ร้อนชื้นของประเทศ ต่อมาถึงนิยมใช้ Robusta จนได้รับความนิยมเพราะเข้มข้นกว่า ขมกว่า และมีคาเฟอีนมากกว่า
ในขณะที่ Starbucks ยืนกรานว่าจะใช้ Arabica 100% ด้วยเหตุผลว่า “มีรสชาติที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน” แต่ 97% ของกาแฟที่ชาวเวียดนามบริโภคทุกปี ซึ่งมีการสำรวจค่าเฉลี่ยแล้วพบว่า ใน 1 ปี คนเวียดนามบริโภคกาแฟ “2 กิโลกรัมต่อคน และเป็นสายพันธุ์ Robusta”
อาจเป็นเหตุผลที่ว่าคนเวียดนามไม่นิยมไป Starbucks เพราะมัน ไม่ขม ไม่เข้ากับรสชาติที่คุ้นลิ้นรวมไปถึงเมนูท้องถิ่นที่สตาร์บัคก็ให้บริการลูกค้าไม่ได้อย่าง “กาแฟไข่” ที่มีต้นกำเนิดในฮานอยช่วงปี 1940 ในภาวะสงครามที่ขาดแคลนนม จึงหันมาใช้ไข่แทน และกลายเป็นกาแฟท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุด
Vietnamese Egg Coffee
ทุกวันนี้ แบรนด์ท้องถิ่นของเวียดนามบางแบรนด์ก็พยายามคิดค้นเมนูใหม่ๆ หาวัตถุดิบใหม่ๆ ใส่ลงไปในกาแฟ เช่น ไข่แดง โยเกิร์ต และแม้แต่ผลไม้เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ Cong Coffee ร้านกาแฟท้องถิ่นอีกแห่งกล่าวว่า
“กาแฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ‘กาแฟมะพร้าว’ ที่ใส่ครีมมะพร้าว นมข้นหวาน และน้ำแข็ง เป็นส่วนผสม”
Tram Nguyen นักออกแบบกราฟิกจาก Dalat กล่าวเพิ่มเติมกับ BBC ว่ากาแฟเวียดนามเป็น "ความภาคภูมิใจของชาติ"
มันเป็นอะไรที่พิเศษมากๆ และฉันมักจะพูดถึงมันทุกครั้งที่พูดถึงเวียดนาม ฉันภูมิใจในกาแฟเวียดนามมาก ฉันชอบกาแฟนมเสมอ ไม่ว่าจะแบบเย็นหรือแบบร้อน
จึงเป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าธุรกิจเชนร้านกาแฟยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks จะทำอย่างไร เมื่อการลงทุนไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยอุปสรรคก็คือวัฒนธรรม วิถีชีวิต ราคา และ รสชาติ ที่มีเอกลักษณ์ของกาแฟเวียดนาม ทำให้ต้องมาคอยติดตามกันต่อไปทิศทางธุรกิจของ Starbucks จะสามารถเข้าไปครองส่วนแบ่งทางการตลาดและครองใจผู้บริโภคชาวเวียดนามได้มากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้
Tram Nguyen กล่าวกับ BBC ว่า "กาแฟ Starbucks นั้นไม่มีอะไรพิเศษสำหรับฉัน มันแฟนซีเกินไป และฉันไม่ชอบรสชาตินี้"
"ฉันสามารถเพลิดเพลินกับกาแฟคุณภาพดีที่ร้านกาแฟเวียดนามได้ในราคาเพียงครึ่งเดียว"
ทำให้ Starbucks ต้องเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อแก้เกมธุรกิจนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม
อ้างอิง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด