ถอดรหัสปัญหา Burnout ที่องค์กรคุณอาจแก้ปัญหาไม่ถูก พร้อม 4 วิธีจัดการอย่างตรงจุด | Techsauce

ถอดรหัสปัญหา Burnout ที่องค์กรคุณอาจแก้ปัญหาไม่ถูก พร้อม 4 วิธีจัดการอย่างตรงจุด

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 ภาวะหมดไฟ (Burnout) ก็ลุกลามกระจายไปทั่วทุกมุมโลก ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่หลาย ๆ องค์กรกำลังเผชิญอยู่ 

Microsoft สำรวจความคิดเห็นจากผู้คน 20,000 คนใน 11 ประเทศทั่วโลก พบว่าเกือบ 50% ของพนักงานและ 53% ของผู้จัดการหมดไฟในการทำงาน 

หลาย ๆ คนคงเกิดคำถามว่าภาวะ Burnout มีต้นตอมาจากอะไร องค์กรต้องเริ่มแก้ที่ตรงไหน เราไปรู้จักภาวะหมดไฟให้ดีกว่านี้กัน !

Burnout คืออะไร

Burnout คือภาวะหมดไฟในการทำงาน ผู้ที่อยู่ในภาวะนี้จะรู้สึก เครียด เหนื่อยหน่าย ไม่มีสมาธิ และขาดแรงจูงใจในการทำงาน ฯลฯ ถึงแม้ว่าลักษณะอาการจะคล้ายคลึงกับโรคซึมเศร้า แต่ภาวะหมดไฟเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคซึมเศร้าเท่านั้น เพราะการ Burnout แท้จริงแล้ว.. 

ไม่ใช่โรคแต่เป็นเพียงภาวะหนึ่งที่มีปัจจัยหลักมาจากการทำงาน

ความรุนแรงของการที่พนักงานอยู่ในภาวะ Burnout นอกจากจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังอาจจะนำไปสู่การลาออกได้อีก แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อบริษัท ดังนั้นองค์กรจึงควรเริ่มตั้งคำถามหรือพูดคุยถึงระบบการทำงานภายในองค์กรว่ามีปัญหาที่ตรงไหน ซึ่งมันอาจนำไปสู่ต้นตอของภาวะ Burnout ได้

เพราะบริษัทส่วนใหญ่มักตีความว่าอาการ Burnout เป็นเรื่องของโรคและสุขภาพจิตที่เกิดจากตัวบุคคล จึงมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขเฉพาะบุคคล แต่แท้จริงแล้วมันมีต้นตอมาจากการทำงานที่เป็นพิษ สิ่งที่ควรเริ่มแก้ไขอย่างแท้จริงก็คือ วัฒนธรรมองค์กร นั่นเอง

การทำงานแบบไหน “ยิ่งทำไป ไฟยิ่งมอด”

วัฒนธรรมองค์กรเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน หากมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษก็ย่อมส่งผลให้การทำงานในองค์กรเป็นพิษไปด้วย แล้วการทำงานแบบไหนกันที่ทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจจนหมดไฟ ไปดูกัน !

  • ความไม่สมดุลขององค์กร: ความไม่สมดุลในที่นี้ หมายถึง 1. Work-overload หรือการที่องค์กรมีภาระงานมาก แต่กลับมีพนักงานทำงานน้อย รวมถึงในบางองค์กรที่มีคนน้อยมาก ๆ พนักงานบางคนอาจจะต้องทำงานที่ตนเองไม่ถนัด และ 2. Work life balance การทำงานตลอดเวลา ไม่เคารพเวลาส่วนตัว เช่น เวลาหลังเลิกงาน และวันหยุด สิ่งเหล่านี้สร้างแรงกดดันมหาศาลแก่พนักงาน


  • การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ: การทำงานที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี ย่อมสร้างบรรยากาศที่เป็นพิษต่อคนทำงาน เช่น อิจฉา แข่งขันกัน หรือการนินทาว่าร้าย ผลสำรวจพบว่ากว่า 70% ของพนักงานที่หมดไฟ เพราะเจอกับบรรยากาศในการทำงานที่ Toxic และถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลสูงที่สุด


  • ไม่มีส่วนร่วมในที่ทำงาน: การทำงานแบบ Work from anywhere ทำให้บางคนรู้สึกว่าไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับองค์กร โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ พบว่า 17% ของพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่รู้สึกหมดไฟและไม่อยากมีส่วนร่วมกับงานของบริษัท เพราะความรู้สึกไม่มีส่วนร่วมต่อองค์กรและความไม่ไว้วางใจให้ทำงานบางอย่าง สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำให้พนักงานรู้สึกไม่มีคุณค่าต่อองค์กร

องค์กรของคุณอาจกำลังหลงทางอยู่

ปัญหาอาการหมดไฟก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันถึงวิธีแก้ไข แต่มันก็ทำให้หลาย ๆ องค์กรเริ่มให้ความสำคัญและพูดคุยถึงปัญหาสุขภาพจิตของพนักงานกันมากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี เห็นได้จากการที่บริษัทระดับโลกหลายบริษัทเสนอแนวทางเพื่อช่วยเหลือพนักงานจากภาวะ Burnout ด้วยโปรแกรมสุขภาพและความบันเทิงมากมาย เช่น 

1. Google

Google มอบสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพมากมายให้แก่พนักงาน ตั้งแต่คอร์สโยคะ ฟิตเนสเซนเตอร์ สปอร์ตคอมเพล็กซ์ จนถึงบริการดูแลสุขภาพในที่ทำงาน นอกจากนี้ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่พนักงานด้วย บริการซักรีด บริการตัดผม และจุดสำหรับนอนพัก เพื่อให้พนักงานมีสุขภาพที่ดีและมีความสุข

2. Microsoft

Microsoft ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ใส่ใจในสุขภาพกายและจิตของพนักงาน มีโปรแกรมสุขภาพมากมายที่ให้แก่พนักงาน เช่น แพทย์และบริการดูแลสุขภาพในที่ทำงาน ลู่เดินและวิ่ง สนามกีฬา อาหารเพื่อสุขภาพ รวมไปถึงบริการซักผ้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พนักงาน

3. Airbnb

Airbnb มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มวันหยุดให้แก่พนักงาน การทำงานที่มีเวลายืดหยุ่น เพราะบริษัทต้องการให้พนักงานได้มีเวลาพักจากงาน เพื่อไปทำกิจกรรมยามว่างที่ชอบ

4. Intel

Intel เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ให้ความสำคัญกับพนักงานอย่างมาก บริษัทสนับสนุนโปรแกรมที่ช่วยพัฒนาศักยภาพของพนักงาน อย่าง คอร์สเรียนต่าง ๆ Workshop และการสนับสนุนค่าเล่าเรียน รวมถึงยังจัดโปรแกรมสุขภาพให้แก่พนักงาน เช่น ศูนย์สุขภาพและฟิตเนสในที่ทำงาน อาหารเพื่อสุขภาพ เป็นต้น

5. Apple

Apple มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มวันหยุดให้แก่พนักงาน  วันลาพักร้อนที่มากขึ้น อีกทั้งบริษัทยังสนับให้มอบความบันเทิงแก่พนักงาน เช่น จัดกิจกรรมรื่นเริงให้พนักงานและเชิญ Stevie Wonder และ Demi Lovato มาแสดงในงาน

เห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อหลาย ๆ องค์กรรับรู้ว่า ภาวะ Burnout ในพนักงานทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สิ่งที่บริษัทใหญ่ Take action เป็นอันดับแรก ๆ เพื่อป้องกันพนักงานจากการ Burnout ก็คือ การมุ่งเน้นแก้ไขที่ตัวบุคคล เช่น การให้วันหยุด หรือสวัสดิการอื่น ๆ (จิตแพทย์เพื่อพูดคุย โปรแกรมสุขภาพ ไปจนถึงความบันเทิง)

บริษัทระดับโลกเหล่านี้มีเงินทุนมากพอที่จะมอบสวัสดิการเสริมให้แก่พนักงาน แต่ถ้าบริษัทของคุณไม่ได้อยากทุ่มทุนมหาศาลไปกับสวัสดิการเหล่านี้ เรามีวิธีการที่จะช่วยคุณแก้ปัญหาการ Burnout ในระยะยาว

โดยที่คุณแทบจะไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาทเดียว อย่างการ get to the point มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นตอ !

แก้ปัญหา Burnout ภายในองค์กรในระยะยาว

การแก้ปัญหาในระยะยาวต้องเริ่มแก้ที่ต้นตอ ซึ่งภาวะ Burnout เป็นเรื่องของการทำงานในวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ ส่งผลให้การทำงานเป็นพิษไปด้วย จุดที่ควรเน้นยำก็คือ Systematic solution หรือการแก้ไขที่ระบบไม่ใช่ตัวบุคคล มีทั้งหมด 4 ข้อหลัก ๆ ดังนี้

สร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างในการพูดคุยถึงสุขภาพจิต

ก่อนที่จะลงมือแก้ไขปัญหาต้องเริ่มจากการยอมรับว่ามีปัญหา และมองปัญหาเป็นเรื่องปกติ ผู้นำองค์กรควรเป็นคนเริ่มพูดคุยถึงปัญหาสุขภาพจิตเป็นอันดับแรก แสดงออกให้คนในองค์กรเห็นว่าการมีปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ การทำเช่นนี้จะทำให้พนักงานสบายใจที่จะพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตของพวกเขาและจะพบวิธีแก้ปัญหาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาได้

สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการทำงาน ลดสภาพแวดล้อมที่ Toxic

หากองค์กรมีคนที่แสดงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อเพื่อนร่วมงาน นั่นก็อาจเริ่มมาจากการที่หัวหน้างานไม่ได้บอกพวกเขาว่ากำลังทำผิด การแก้ไขปัญหา Toxic ในที่ทำงานจึงต้องเริ่มจากผู้นำ หมั่นสังเกตพนักงานและบรรยากาศในการทำงาน เมื่อรู้ว่าเกิดปัญหา Toxic ต้องพร้อมรับฟังและแก้ปัญหาทันที ทั้งการพูดคุย และตักเตือน เพื่อสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่พนักงานคนอื่น ๆ 

สร้างสมดุลให้แก่องค์กร

ความสมดุลขององค์กร เริ่มที่การจัดสรรจำนวนคนให้เพียงพอต่อภาระงาน เพราะอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พนักงาน Burnout ก็มาจากความเครียดเรื้อรัง เพราะภาระงานที่มีมากเกินไป แต่ทรัพยากรคนที่จะทำงานมีน้อยกว่าภาระงาน ส่งผลให้พนักงาน 1 คนต้องแบกรับงานที่มากเกินความสามารถของเขา และรวมถึงความสมดุลในเรื่องของเวลาทำงาน ไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของพนักงาน สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เคารพซึ่งกันและกัน

สร้างสภาพแวดล้อมที่คอยสนับสนุนพนักงานให้รู้สึกมีคุณค่า

การได้รับการยอมรับในองค์กร เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานรู้สึกมีคุณค่า องค์กรควรแสดงออกว่าพนักงานทุกคนสำคัญเท่ากันหมด และปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีความลำเอียงหรือให้ความสำคัญกับคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ

อ้างอิง: who.int, forbes, mckinsey, youtube, deloitte

ถึงเป็นธุรกิจเล็ก วัฒนธรรมองค์กรก็สำคัญ
เริ่มเปลี่ยนวันนี้ก่อนสาย

.
หากองค์กรของคุณกำลังเจอปัญหา … พนักงานหมดไฟ…ทุกการตัดสินใจล่าช้าเพราะต้องรอ CEO … พนักงานลาออกเยอะ แต่ไม่รู้สาเหตุ และอีกมากมายปัญหาในองค์กรที่คุณแก้ไม่ตก
.
Peoplesauce ช่วยธุรกิจ SMEs /Startups ที่กำลัง Scale up สร้าง “คน” และ“Culture” เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ

เริ่มเปลี่ยนไปพร้อมกับเราได้ตั้งแต่วันนี้ที่

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

"Founder Mode" วิถีแห่งผู้นำยุคใหม่หรือแค่ One-Man Show ที่กำลังจะล้าสมัย?

Silicon Valley ดินแดนแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่ซึ่งไอเดียใหม่ๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด แต่ท่ามกลางกระแสแห่งความคิดสร้างสรรค์นี้เอง กลับมีคำศัพท์ใหม่ที่จุดประกายความขัดแย้งขึ้น นั่นค...

Responsive image

ไขความลับ Gen AI โอกาส ข้อจำกัด และวิธีใช้ ในการวางกลยุทธ์สำหรับ CEO

เรากำลังประเมินความสามารถของ AI สูงเกินไปหรือไม่? และ AI จะสามารถช่วยเหลือในด้านใดของการวางแผนกลยุทธ์? บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านี้ผ่านกรณีศึกษาสองกรณีเกี่ยวกับการใช้ gen AI ในการวา...

Responsive image

รู้จัก Brian Niccol เจ้าพ่อธุรกิจ Chain Restaurant และ CEO ป้ายแดงของ Starbucks

Starbucks ก็ดึงตัว Brian Niccol (ไบรอัน นิคโคล) ผู้บริหารธุรกิจร้านอาหารมือทองจาก Chipotle Maxican Grill ธุรกิจอาหารแม็กซิกันจานด่วนมาดำรงตำแหน่ง CEO คนใหม่...