Metaverse เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มองว่าจะเป็น Next Big Thing หลังยุค Smartphone | Techsauce

Metaverse เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มองว่าจะเป็น Next Big Thing หลังยุค Smartphone

เมื่อเวลาผ่านไปเราอยู่ในยุคที่ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ ก่อนหน้านี้ทุกคนอาจไม่ได้เข้าถึงสมาร์ทโฟน แต่ตอนนี้สมาร์ทโฟนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่เรียกได้ว่า ปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ดังนั้นระยะหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะอิงอยู่บนสมาร์ทโฟน 

แต่หลังจากนี้ ด้วยพัฒนาการของอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการขับเคลื่อนด้านดิจิทัลมาสู่ยุค 5G ประกอบกับวิทยาการต่างๆ ก้าวหน้ามากขึ้น ความเป็นไปของโลกคงไม่ได้หยุดอยู่แค่สมาร์ทโฟน ที่ทำให้เราใช้งานแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ บนระบบกริดหน้าจออย่างแน่นอน แต่จะพาเราเข้าไปสู่ยุคที่สร้างอินเทอร์เน็ตให้มีตัวตนมากขึ้น 

โดยเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ที่จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ คือ เทคโนโลยี AR / VR ที่จะทำให้โลกเสมือนสามารถให้ประสบการณ์กับผู้ใช้ได้เหมือนโลกจริงมากขึ้น ซึ่งผู้ที่เปลี่ยนเกมเทคโนโลยีนี้ให้ผู้คนเข้าถึงกันได้มากขึ้น คงหนีไม่พ้น Facebook ถามว่าทำไม เราถึงหยิบยกบริษัทนี้ขึ้นมาเป็น case study ไปหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ 

Metaverse

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 17 ปีก่อนในยุคอินเทอร์เน็ตที่มีการเริ่มต้นของ Content Platform เกิดขึ้นมากมาย Facebook ก็ถือเป็นแพลตฟอร์มที่ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก ได้ก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการสร้างสื่อสังคมออนไลน์ เริ่มต้นจากแค่การหาเพื่อนในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งกลายเป็นโซเชียลมีเดียที่เชื่อมต่อกับผู้คนทั่วโลก และมีอิทธิพลมากที่สุดด้วยจำนวนผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 2.6 พันล้านบัญชี ขึ้นแท่นบริษัทเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของโลก 

ทุกคนลองคิดถึงภาพวิถีชีวิต รูปแบบการเข้าสังคม และการติดต่อสื่อสาร ในยุคก่อนหน้านี้ 

แต่เมื่อสมาร์ทโฟนมีการพัฒนามากขึ้น และ Facebook เกิดขึ้น ลองคิดถึงภาพวิถีชีวิตของเรา ณ ตอนนี้อีกครั้ง 

แน่นอนว่าคุณจะเห็นภาพของความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแบบที่ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม

Facebook กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลง กับวิถีชีวิตของเราอีกครั้งอย่างไร ?

มาตั้งต้นกันที่ การเข้าซื้อกิจการของ Oculus บริษัทเทคโนโลยีเสมือนจริงเมื่อปี 2014 ซึ่งถือเป็นดีลประวัติศาสตร์ที่สามารถขายกิจการด้วยมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ โดยที่ยังไม่มีสินค้าจริงออกสู่ตลาดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว แต่มาร์ค ซักเกอร์เบิร์กกลับมองว่า นี่เป็นโอกาสของแพลตฟอร์ม

หลังจากนั้น Facebook ก็ได้มีการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมากอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการก่อตั้ง Facebook Reality Labs หน่วยงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AR/VR ขึ้น และเมื่อปี 2020 ก็ได้เปิดตัวอุปกรณ์ VR ออกสู่ตลาดอย่าง Facebook Connect ที่เป็นการรีแบรนด์มาจาก Oculus Quest 2 

Metaverse

 นอกจากนี้ Facebook ยังได้ประกาศว่าอยู่ระหว่างพัฒนา แว่นตาอัจฉริยะ โดยเป็นแว่น AR (Augmented Reality) ที่ได้ร่วมมือกับ RAY-BAN ที่ได้ประกาศความร่วมมือไปเมื่อปี 2019 ด้วย  ซึ่งจะเป็นมิติใหม่ของการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์

และล่าสุดที่เป็นข่าวดังที่น่าตื่นตาตื่นใจไปทั่วโลก คือ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ได้ประกาศวิสัยทัศน์ของ Facebook ในระยะหลังจากนี้ เกี่ยวกับการสร้างประสบการณ์เชื่อมโลกแบบ Sci-Fi อย่าง Metaverse ที่จะทำให้อนาคตของบริษัทสามารถไปได้ไกลกว่าปัจจุบัน โดยเขาได้ประกาศชัดว่า จะเปลี่ยน Facebook จากบริษัทโซเชียลมีเดียไปเป็นบริษัท metaverse ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

Metaverse ในแบบฉบับของ Facebook หมายความว่าอย่างไร ?

เดิมธุรกิจของ Facebook จะมีหลายสายงานด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การใช้งานสำหรับชุมชน การสนับสนุนครีเอเตอร์และการค้า หรือแม้แต่การสร้างระบบ VR เองก็ตาม แต่มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ได้มองไปไกลกว่านั้น ด้วยแนวคิดที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม คือ การผนวกสายงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ด้วยการเริ่มสร้าง Metaverse ให้สามารถใช้งานจริงได้นั่นเอง 

ซึ่งต้องบอกว่า ณ ปัจจุบันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ Facebook เท่านั้นที่มุ่งเป้าไปที่ Metaverse โดยข้อมูลจาก  New York Times ระบุว่า มีบริษัทเกมส์อย่าง Fortnite, Roblox และแม้แต่ Animal Crossing: New Horizons ก็มีองค์ประกอบที่เหมือนกับ Metaverse รวมถึง Tim Sweeney CEO ของ Epic Games ก็ได้กล่าวถึงความต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับโลก Metaverse มาเป็นระยะหนึ่งแล้ว และแน่นอน Facebook เองก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีการเข้าซื้อบริษัทเกมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ขณะที่ทางฝั่งเอเชียก็มี SM Entertainment ที่ได้ร่วมมือกับสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูงของเกาหลี (KAIST) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี Metaverst เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ยังมี ฺฺBig Tech อีกหลายราย ไม่ว่าจะเป็น Apple, Google, Microsoft, และ Amazon เองก็ตามที่อยู่ระหว่างพัฒนาเทคโนโลยีผสานโลกเสมือนจริงกับโลกเสมือนเข้า อยู่ด้วยเช่นเดียวกัน

Metaverse

แต่สำหรับ Facebook เทคโนโลยี  Metaverse จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้างการทำงานร่วมกัน โดยการทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้จริง แทนที่จะทำได้แค่เลื่อนดู แต่เป็นการเอาตัวเราเข้าไปอยู่ในนั้นและได้มีส่วนร่วมจริงๆ ซึ่งนับว่าเป็นประสบการณ์ที่ระบบ 2 มิติในปัจจุบันไม่สามารถทำได้

มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มองว่า ผู้คนไม่ควรที่จะต้องใช้งานเทคโนโลยีผ่านระบบกริดของแอป  ในตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตและสื่อสารกันผ่านจอสี่เหลี่ยม ซึ่งนั่นไม่ใช่การมีปฏิสัมพันธ์ในแบบที่ควรจะเป็น ซึ่ง Mataverse เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นราวกับอยู่ในโลกความเป็นจริง เพราะแน่นอนว่าในโลกความเป็นจริง ผู้คนสะดวกใจกับการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า

นอกจากนี้มาร์คยังกล่าวว่า Metaverse จะสร้างโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับทุกคน ทั้งคนในเมือง และนอกเมือง รวมถึงพื้นที่ที่การศึกษาผ่านออนไลน์ยังถูกจำกัด พร้อมมุ่งพัฒนาระบบ teleportation ร่วมกับบริษัทในเครือที่เคยร่วมพัฒนาหูฟัง VR อย่าง Oculus รวมไปถึงยังสามารถสร้างงานที่ไม่มีอยู่ในปัจจุบันได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบเศรษฐกิจทั้งหมดที่จะรวมใน Metaverse

หากพูดถึงระบบ Metaverse คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงระบบความเป็นจริงเสมือนอย่าง VR แต่ความเป็นจริง Metaverse เป็นได้มากกว่านั้น เราสามารถเข้าถึงระบบได้ผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลายที่ไม่จำกัดแค่แพลตฟอร์มที่ต้องรองรับ VR หรือ AR และยังสร้างสภาพแวดล้อมแบบที่สามารถอยู่ร่วมกันเพื่อปฏิสัมพันธ์ได้ ทำให้ Metaverse เป็นเหมือนลูกผสมของแพลตฟอร์มที่มีในปัจจุบัน แต่ต่างที่พื้นที่การใช้ที่เราจะได้เข้าไปอยู่ในระบบจริงๆ ซึงแน่นอนว่ามันต่างจากระบบ 3D ที่มีในตอนนี้ คือเราไม่ได้เห็นภาพออกมาจากจอ แต่เราได้เข้าไปอยู่ในภาพนั้นต่างหาก

จากวิสัยทัศน์ของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก ชวนให้เราเห็นภาพว่า ในยุคหลังจากนี้อาจกล่าวได้ว่า Metaverse  จะเป็นเสมือนทายาทผู้สืบทอดการใช้งานของสมาร์ทโฟน รวมไปถึงการสร้างโอกาสทางธุรกิจมหาศาล ที่ผู้คนนับล้านทั่วโลกสามารถทำกิจกรรมต่างๆในระบบของ Metaverse เลยก็ว่าได้

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้ามองลักษณะของการทำเงินจาก Metaverse ของ Facebook คงหนีไม่พ้น การโฆษณาที่ยังคงมีบทบาทหลักอยู่ แต่นอกเหนือไปกว่านั้น มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ยังเผยอีกว่า จะมีการขายสินค้าเสมือนจริงเพิ่มเติมเข้าไปด้วย 

Metaverse

เส้นทางการ  transform จาก โซเชียลมีเดีย สู่ Metaverse ยังเต็มไปด้วยความท้าทายมหาศาล

พัฒนาการของอินเทอร์เน็ตก้าวล้ำมาจนถึง 5G และการที่จะให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้งหลายปรับตัว เพื่อสามารถที่จะใช้ประโยชน์สูงสุดได้ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยก้าวต่อไปของเทคโนโลยี AR VR อย่างการสร้าง Metaverse ถือเป็นก้าวใหญ่ที่ต้องใช้เงินทุนมหาศาล โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Facebook ใช้เงินประมาณ 5,000 ล้านเหรียญต่อปี ในการวิจัยและพัฒนา Metaverse

นอกจากนี้แล้วยังมีความท้าทายด้านบุคคลากรที่มีความสามารถที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเชิงเทคนิคที่อาจะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ Startup เองก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเส้นทางการ transform ธุรกิจของมาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก จะเรียบง่ายเหมือนก่อนหน้านี้ เพราะในขณะที่ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่อยู่นี้ Facebook เองก็เผชิญกับความท้าทาย ท่ามกลางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่พยายามลดทอนอำนาจของบริษัทลง ซึ่งจะส่งผลต่อความสามารถในการเข้าซื้อกิจการที่เข้ามาเสริมธุรกิจในอนาคตของ Facebook ลงเช่นกัน 


ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

5 ข้อแตกต่างที่ทำให้ Jensen Huang เป็นผู้นำใน 0.4% ด้วยพลัง Cognitive Hunger

บทความนี้จะพาทุกคนไปถอดรหัสความสำเร็จของ Jensen Huang ด้วยแนวคิด Cognitive Hunger ความตื่นกระหายการเรียนรู้ เคล็ดลับสำคัญที่สร้างความแตกต่างและนำพา NVIDIA ก้าวสู่ความเป็นผู้นำระดับ...

Responsive image

เรื่องเล่าจาก Tim Cook “...ผมไม่เคยคิดเลยว่า Apple จะมีวันล้มละลาย”

Apple ก้าวเข้าสู่ยุค AI พร้อมรักษาจิตวิญญาณจาก Steve Jobs สู่อนาคตที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม โดย Tim Cook มุ่งเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีอีกครั้ง!...

Responsive image

วิจัยชี้ ‘Startup’ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จ

บทความนี้ Techsauce จะพาคุณไปสำรวจว่าอะไรที่ทำให้ วัย 40 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของนักธุรกิจและ Startup หลายคน...